การวิจัยเชิงทดลอง เป็นวิธีการวิจัยแบบหนึ่งที่มุ่งหาความสัมพันธ์เชิง “เหตุและผล” ของตัวแปรต่างๆ ภายใต้การควบคุมสถานการณ์อย่างรัดกุม โดยผู้วิจัยจะ “จัดกระทำ” ตัวแปรอิสระ (ตัวแปรต้นเหตุ) และ “สังเกต” ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับตัวแปรตาม (ตัวแปรผลลัพธ์) เปรียบเสมือนการสร้างสถานการณ์จำลองเพื่อทดสอบสมมติฐานและหาคำตอบอย่างเป็นระบบ
องค์ประกอบสำคัญ ของการวิจัยเชิงทดลอง ประกอบด้วย:
1. ตัวแปร:
- ตัวแปรอิสระ: ตัวแปรที่ผู้วิจัยเป็นผู้ควบคุมและจัดกระทำ
- ตัวแปรตาม: ตัวแปรที่ผู้วิจัยสังเกตและวัดผลเพื่อดูว่าเปลี่ยนแปลงหรือไม่
2. กลุ่มตัวอย่าง:
- กลุ่มทดลอง: กลุ่มที่ได้รับตัวแปรอิสระ
- กลุ่มควบคุม: กลุ่มที่ไม่ได้รับตัวแปรอิสระ ทำหน้าที่เปรียบเทียบกับกลุ่มทดลอง
3. การควบคุม:
- ควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน: ป้องกันปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อตัวแปรตาม
- ควบคุมเงื่อนไข: จัดให้กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีความคล้ายคลึงกัน ยกเว้นตัวแปรอิสระ
4. การออกแบบการทดลอง:
- กำหนดวิธีการจัดกลุ่มตัวอย่าง แจกแจงตัวแปร จัดเก็บข้อมูล วิเคราะห์ผล
ประเภทของการวิจัยเชิงทดลอง:
- การทดลองแท้ (True Experiment): ควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้ดีที่สุด เช่น การทดลองในห้องปฏิบัติการ
- การทดลองเชิงกึ่งทดลอง (Quasi Experiment): ควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้ยาก เช่น การทดลองในสถานการณ์จริง
ข้อดีของการวิจัยเชิงทดลอง:
- สามารถหาความสัมพันธ์เชิงเหตุและผลได้
- ควบคุมปัจจัยอื่นๆ ได้
- ผลการวิจัยมีความน่าเชื่อถือสูง
ข้อจำกัดของการวิจัยเชิงทดลอง:
- ใช้เวลานาน
- ใช้ค่าใช้จ่ายสูง
- ยากต่อการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนในบางสถานการณ์
- ผลการวิจัยอาจไม่สามารถนำไปใช้กับสถานการณ์จริงได้เสมอไป
ตัวอย่างการวิจัยเชิงทดลอง:
- ผลของปุ๋ยชนิดต่างๆ ต่อการเจริญเติบโตของพืช
- ผลของวิธีการสอนแบบใหม่ต่อผลการเรียนรู้ของนักเรียน
- ผลของยาชนิดใหม่ต่ออาการป่วย
สรุป:
การวิจัยเชิงทดลองเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการหาความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล ช่วยให้ผู้วิจัยสามารถหาคำตอบของปัญหาได้อย่างเป็นระบบและน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม การวิจัยเชิงทดลองก็มีข้อจำกัดบางประการ ผู้วิจัยจึงควรพิจารณาความเหมาะสมของวิธีการวิจัยนี้ก่อนนำไปใช้