เทคนิคการทำวิจัยและพัฒนา(R&D)เพื่อเพิ่มความเชี่ยวชาญของครู(คศ.4)

การวิจัยและพัฒนา (Research and Development: R&D) เป็นกระบวนการที่มุ่งพัฒนานวัตกรรมหรือวิธีการใหม่ ๆ โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การศึกษาค้นคว้า ทดลอง และประเมินผล ในปัจจุบันการวิจัยและพัฒนาเป็นแนวทางสำคัญที่ใช้ในการพัฒนาครูไปสู่วิทยฐานะเชี่ยวชาญ (คศ.4) ซึ่งผู้ขอเลื่อนวิทยฐานะจะต้องจัดทำผลงานทางวิชาการที่แสดงถึงความเชี่ยวชาญในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนในระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน บทความนี้ได้แนะนำ เทคนิคการทำวิจัยและพัฒนา(R&D)เพื่อเพิ่มความเชี่ยวชาญของครู(คศ.4) เพื่อให้การวิจัยมีประสิทธิภาพและส่งผลต่อการพัฒนาผู้เรียนอย่างแท้จริง

เทคนิคการทำวิจัยและพัฒนา(R&D)เพื่อเพิ่มความเชี่ยวชาญของครู(คศ.4) มีดังนี้

1. เลือกหัวข้อที่สอดคล้องกับบริบทของสถานศึกษาและปัญหาที่เกิดขึ้นในกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน

การเลือกหัวข้อวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มความเชี่ยวชาญของครู(คศ.4) ควรพิจารณาจากบริบทของสถานศึกษาและปัญหาที่เกิดขึ้นในกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้

  • บริบทของสถานศึกษา 

บริบทของสถานศึกษา หมายถึง สภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการดำเนินงานของสถานศึกษา ซึ่งรวมถึงปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกสถานศึกษา ปัจจัยภายใน ได้แก่ ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบต่าง ๆ ภายในสถานศึกษา เช่น ผู้บริหาร ครู นักเรียน ผู้ปกครอง ชุมชน หลักสูตร งบประมาณ อาคารสถานที่ วัสดุอุปกรณ์ เป็นต้น ปัจจัยภายนอก ได้แก่ ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมภายนอกสถานศึกษา เช่น สภาพสังคม เศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี เป็นต้น

บริบทของสถานศึกษามีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ครูควรพิจารณาบริบทของสถานศึกษาในการวางแผนและดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อความต้องการของผู้เรียนและชุมชน

ตัวอย่างบริบทของสถานศึกษา ได้แก่

  • ระดับชั้นที่สอน วิชาที่สอน
  • สภาพแวดล้อมของสถานศึกษา ชุมชนรอบข้าง
  • นโยบายและแนวทางการพัฒนาการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ
  • การเปลี่ยนแปลงของสังคม เศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี
  • ความสามารถและความสนใจของผู้เรียน
  • ความต้องการของชุมชน

ครูควรศึกษาและวิเคราะห์บริบทของสถานศึกษาอย่างรอบคอบ เพื่อให้สามารถวางแผนและดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ

  • ปัญหาที่เกิดขึ้นในกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน 

ปัญหาที่เกิดขึ้นในกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนสามารถจำแนกออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่

  • ปัญหาด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไม่เท่าเทียมกัน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตกต่ำลง
  • ปัญหาด้านพฤติกรรมการเรียนรู้ ได้แก่ พฤติกรรมไม่พึงประสงค์ เช่น ขาดเรียน หนีเรียน ก้าวร้าว ละเมิดกฎระเบียบ เป็นต้น

ปัญหาด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอาจเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น

  • ปัจจัยด้านผู้เรียน เช่น ความสามารถทางสติปัญญา ความสนใจ ความตั้งใจในการเรียน สภาพแวดล้อมทางครอบครัว เป็นต้น
  • ปัจจัยด้านครู เช่น การจัดการเรียนรู้ที่ไม่มีประสิทธิภาพ ขาดความเชี่ยวชาญในวิชาที่สอน เป็นต้น
  • ปัจจัยด้านหลักสูตร เช่น หลักสูตรไม่สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน เนื้อหาสาระยากเกินไป เป็นต้น
  • ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม เช่น สภาพแวดล้อมของสถานศึกษาไม่เอื้อต่อการเรียนรู้ เป็นต้น

ปัญหาด้านพฤติกรรมการเรียนรู้อาจเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น

  • ปัจจัยด้านผู้เรียน เช่น อารมณ์ ความรู้สึก ความต้องการ เป็นต้น
  • ปัจจัยด้านครอบครัว เช่น ความสัมพันธ์ในครอบครัว ปัญหาในครอบครัว เป็นต้น
  • ปัจจัยด้านเพื่อนฝูง เช่น เพื่อนฝูงมีพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ เป็นต้น
  • ปัจจัยด้านสังคม เช่น สภาพแวดล้อมทางสังคมที่เอื้อต่อพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ เป็นต้น

ครูควรศึกษาและวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นในกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างรอบคอบ เพื่อให้สามารถวางแผนและดำเนินการแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตัวอย่างปัญหาที่เกิดขึ้นในกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน เช่น

  • นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด
  • นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีพฤติกรรมก้าวร้าวบ่อยครั้ง
  • นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ขาดเรียนบ่อยครั้ง

ครูควรร่วมมือกับบุคลากรที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้บริหาร ผู้ปกครอง ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา ฯลฯ เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน

ตัวอย่างหัวข้อวิจัยและพัฒนาที่สอดคล้องกับบริบทของสถานศึกษาและปัญหาที่เกิดขึ้นในกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน เช่น

  • การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active Learning เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
  • การพัฒนาสื่อการเรียนการสอนแบบดิจิทัลเพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
  • การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ PBL เพื่อส่งเสริมทักษะการทำงานร่วมกันของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
  • การพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบ Blended Learning เพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
  • การพัฒนาการจัดการเรียนรู้สำหรับนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษด้านการเรียนรู้
  • การพัฒนาการจัดการเรียนรู้สำหรับนักเรียนในพื้นที่ห่างไกล

ครูควรพิจารณาเลือกหัวข้อวิจัยและพัฒนาที่ตนเองมีความถนัดและสนใจ เพื่อให้สามารถดำเนินการวิจัยได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ หัวข้อวิจัยควรมีความเป็นไปได้ในการนำไปประยุกต์ใช้จริงในสถานศึกษา และควรมีความสอดคล้องกับนโยบายและแนวทางการพัฒนาการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ

นอกจากนี้ ครูควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาหรือนักวิจัย เพื่อขอคำแนะนำในการเลือกหัวข้อวิจัยและพัฒนาที่เหมาะสม

2. ศึกษาค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

การศึกษาค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเป็นขั้นตอนสำคัญในการวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มความเชี่ยวชาญของครู(คศ.4) การศึกษาค้นคว้าจะช่วยให้ครูเข้าใจปัญหาและแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ข้อมูลและแนวคิดที่ได้จากการค้นคว้าจะช่วยให้ครูวางแผนการวิจัยได้อย่างเหมาะสม

เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องสามารถศึกษาได้จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เช่น ห้องสมุด เว็บไซต์ วารสารวิชาการ เป็นต้น ครูควรศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบและละเอียด เพื่อให้ได้ข้อมูลและแนวคิดที่หลากหลายและครอบคลุม

ในการค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ครูควรพิจารณาประเด็นต่าง ๆ ดังนี้

2.1 ประเด็นที่ต้องการศึกษา 

ประเด็นที่ต้องการศึกษาในการวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มความเชี่ยวชาญของครู(คศ.4) ได้แก่

  • บริบทของสถานศึกษา ได้แก่ ระดับชั้นที่สอน วิชาที่สอน สภาพแวดล้อมของสถานศึกษา ชุมชนรอบข้าง นโยบายและแนวทางการพัฒนาการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ การเปลี่ยนแปลงของสังคม เศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี ความสามารถและความสนใจของผู้เรียน ความต้องการของชุมชน เป็นต้น
  • ปัญหาที่เกิดขึ้นในกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน ได้แก่ ปัญหาด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ปัญหาด้านพฤติกรรมการเรียนรู้ เป็นต้น
  • แนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน เช่น การพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอน การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน การพัฒนาการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับบริบทของสถานศึกษา เป็นต้น

ครูควรศึกษาประเด็นต่าง ๆ เหล่านี้อย่างรอบคอบ เพื่อให้เข้าใจบริบทของสถานศึกษาและปัญหาที่เกิดขึ้นในกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ข้อมูลและแนวคิดที่ได้จากการศึกษาจะช่วยให้ครูวางแผนการวิจัยได้อย่างเหมาะสม

ตัวอย่างประเด็นที่ต้องการศึกษา เช่น

  • บริบทของสถานศึกษา: ระดับชั้นที่สอน วิชาที่สอน สภาพแวดล้อมของสถานศึกษา ชุมชนรอบข้าง นโยบายและแนวทางการพัฒนาการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ การเปลี่ยนแปลงของสังคม เศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี ความสามารถและความสนใจของผู้เรียน ความต้องการของชุมชน
  • ปัญหาที่เกิดขึ้นในกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน: ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไม่เท่าเทียมกัน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตกต่ำลง พฤติกรรมไม่พึงประสงค์ เช่น ขาดเรียน หนีเรียน ก้าวร้าว ละเมิดกฎระเบียบ เป็นต้น
  • แนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน: การพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอน เช่น การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ การพัฒนาสื่อการเรียนการสอน การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน เช่น การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การพัฒนาทักษะการแก้ปัญหา การพัฒนาทักษะการทำงานร่วมกัน การพัฒนาการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับบริบทของสถานศึกษา เช่น การพัฒนาการจัดการเรียนรู้สำหรับนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษด้านการเรียนรู้ การพัฒนาการจัดการเรียนรู้สำหรับนักเรียนในพื้นที่ห่างไกล เป็นต้น

ครูควรพิจารณาเลือกประเด็นที่ต้องการศึกษาที่ตนเองมีความถนัดและสนใจ เพื่อให้สามารถดำเนินการวิจัยได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ

2.2 คำสำคัญ 

คำสำคัญ (Keywords) คือ คำหรือกลุ่มคำที่แสดงถึงเนื้อหาหรือแนวคิดสำคัญของเอกสารหรืองานวิจัย การกำหนดคำสำคัญที่เหมาะสมจะช่วยให้ครูสามารถค้นหาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ในการกำหนดคำสำคัญ ครูควรพิจารณาจากประเด็นที่ต้องการศึกษา ดังนี้

  • หัวข้อหลักของประเด็นที่ต้องการศึกษา
  • แนวคิดหรือทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
  • ตัวแปรหรือตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้อง
  • วิธีการหรือเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา

ตัวอย่างคำสำคัญที่เกี่ยวข้องกับประเด็น “การพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ของนักเรียน” ได้แก่

  • ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์
  • การคิดวิเคราะห์
  • การคิดสร้างสรรค์
  • การคิดแก้ปัญหา
  • การคิดอย่างมีวิจารณญาณ

เมื่อกำหนดคำสำคัญได้แล้ว ครูสามารถใช้ในการค้นหาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้ โดยสามารถค้นหาผ่านฐานข้อมูลออนไลน์หรือเว็บไซต์ต่างๆ เช่น

  • Google Scholar
  • ThaiJo
  • ERIC
  • ScienceDirect

นอกจากนี้ ครูยังสามารถใช้เครื่องมือช่วยค้นหาคำสำคัญ เช่น

  • Google Keyword Planner
  • Ubersuggest
  • Answer the Public

เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยแนะนำคำสำคัญที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ต้องการศึกษา โดยพิจารณาจากปริมาณการค้นหาและความเกี่ยวข้องของคำสำคัญ

การกำหนดคำสำคัญอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ครูสามารถค้นหาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาและการพัฒนาการเรียนการสอนของครู

ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับบางประการในการกำหนดคำสำคัญ:

  • กำหนดคำสำคัญให้ครอบคลุมเนื้อหาหรือแนวคิดสำคัญของประเด็นที่ต้องศึกษา
  • หลีกเลี่ยงการใช้คำทั่วไปหรือคำที่มีความหมายกว้างเกินไป
  • พิจารณาคำสำคัญที่เกี่ยวข้องจากหลายมุมมอง เช่น แนวคิด ทฤษฎี ตัวแปร วิธีการ หรือเครื่องมือ
  • ตรวจสอบคำสำคัญอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าถูกต้องและเหมาะสม

ครูควรหมั่นฝึกฝนการกำหนดคำสำคัญเป็นประจำ เพื่อให้สามารถกำหนดคำสำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับประเด็นที่ต้องศึกษา

2.3 แหล่งข้อมูล 


แหล่งข้อมูลสำหรับครูมีหลากหลายประเภท ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และขอบเขตของการศึกษาค้นคว้า แหล่งข้อมูลที่สำคัญสำหรับครู ได้แก่

  • ห้องสมุด ห้องสมุดเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลและสารสนเทศที่หลากหลาย ทั้งหนังสือ วารสาร นิตยสาร ฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ครูสามารถใช้บริการห้องสมุดเพื่อค้นคว้าข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับวิชาที่สอนหรือประเด็นที่ต้องการศึกษา
  • เว็บไซต์ เว็บไซต์เป็นแหล่งข้อมูลออนไลน์ที่เข้าถึงได้ง่ายและรวดเร็ว ครูสามารถค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับวิชาที่สอนหรือประเด็นที่ต้องการศึกษาจากเว็บไซต์ต่างๆ เช่น เว็บไซต์ของสถาบันการศึกษา เว็บไซต์ของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เว็บไซต์ขององค์กรระหว่างประเทศ เป็นต้น
  • วารสารวิชาการ วารสารวิชาการเป็นแหล่งเผยแพร่บทความทางวิชาการที่จัดทำโดยผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ ครูสามารถอ่านบทความในวารสารวิชาการเพื่อศึกษาแนวทางและวิธีการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับวิชาที่สอนหรือประเด็นที่ต้องการศึกษา
  • การประชุมวิชาการ การประชุมวิชาการเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ ครูสามารถเข้าร่วมการประชุมวิชาการเพื่อฟังการนำเสนอผลงานวิจัยและรับฟังความคิดเห็นจากนักวิชาการอื่นๆ
  • เครือข่ายสังคมออนไลน์ เครือข่ายสังคมออนไลน์เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลและสารสนเทศที่หลากหลาย ครูสามารถเข้าร่วมกลุ่มหรือชุมชนในเครือข่ายสังคมออนไลน์เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับครูหรือผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ

ในการเลือกแหล่งข้อมูล ครูควรพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น วัตถุประสงค์ของการศึกษาค้นคว้า ขอบเขตของการศึกษาค้นคว้า ความน่าเชื่อถือของข้อมูล และความทันสมัยของข้อมูล

ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับบางประการในการเลือกแหล่งข้อมูล:

  • พิจารณาวัตถุประสงค์และขอบเขตของการศึกษาค้นคว้า เพื่อเลือกแหล่งข้อมูลที่เหมาะสม
  • ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล โดยพิจารณาจากแหล่งที่มาของผู้จัดทำ วัตถุประสงค์ของแหล่งข้อมูล และความถูกต้องของข้อมูล
  • ตรวจสอบความทันสมัยของข้อมูล โดยพิจารณาจากวันที่เผยแพร่ข้อมูล

ครูควรหมั่นศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่างๆ เพื่อให้มีความรู้และความเข้าใจที่รอบด้าน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาการเรียนการสอนของครู

หลังจากศึกษาค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องแล้ว ครูควรสรุปประเด็นสำคัญและข้อค้นพบจากการค้นคว้า เพื่อนำมาใช้ในการวางแผนการวิจัย

ตัวอย่างเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น

  • เอกสารวิชาการด้านการศึกษา เช่น ตำรา หนังสือ บทความวิชาการ
  • งานวิจัยด้านการศึกษา เช่น วิทยานิพนธ์ ปริญญานิพนธ์ วารสารวิชาการ
  • เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง เช่น เว็บไซต์ของสถาบันการศึกษา เว็บไซต์ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ครูควรศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของความรู้และเทคโนโลยี การศึกษาค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องจะช่วยให้ครูเป็นนักวิจัยที่มีคุณภาพและมีความเชี่ยวชาญในการวิจัย

เทคนิคการทำวิจัยและพัฒนา(R&D)เพื่อเพิ่มความเชี่ยวชาญของครู(คศ.4) เป็นเทคนิคการทำวิจัยและพัฒนาข้างต้นเป็นเพียงแนวทางคร่าว ๆ เท่านั้น ครูควรศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้การวิจัยมีประสิทธิภาพและส่งผลต่อการพัฒนาผู้เรียนอย่างแท้จริง