คลังเก็บป้ายกำกับ: ตัวอย่าง IRR

IRR คืออะไร? การคำนวณและตัวอย่าง

IRR คืออะไร?

IRR (Internal Rate of Return) หรือ อัตราผลตอบแทนภายใน คือ อัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุน โดยคำนวณจากกระแสเงินสดที่จ่ายออกไปและกระแสเงินสดที่ได้รับจากการลงทุน กระแสเงินสดที่จ่ายออกไป ได้แก่ ค่าลงทุน ค่าบำรุงรักษา ค่าดำเนินการ เป็นต้น ส่วนกระแสเงินสดที่ได้รับ ได้แก่ เงินปันผล เงินเช่า ค่าขาย เป็นต้น

IRR คืออะไร? การคำนวณและตัวอย่าง โดย IRR มักใช้เปรียบเทียบกับอัตราผลตอบแทนของการลงทุนทางเลือกหรือต้นทุนของเงินทุน เพื่อพิจารณาว่าการลงทุนนั้นมีความคุ้มค่าหรือไม่

การคำนวณ IRR

การคำนวณ IRR สามารถทำได้หลายวิธี วิธีที่ง่ายที่สุดคือการใช้โปรแกรมสำเร็จรูป เช่น Microsoft Excel หรือ Google Sheets โดยใช้ฟังก์ชัน IRR หรือ XIRR

  • ฟังก์ชัน IRR

ฟังก์ชัน IRR ใน Microsoft Excel จะคำนวณ IRR โดยเริ่มต้นจากการประมาณค่า IRR จากนั้นจะวนรอบการคำนวณจนกว่าจะหาค่า IRR ที่ถูกต้อง ฟังก์ชัน IRR มีรูปแบบดังนี้

=IRR(กระแสเงินสดที่จ่ายออกไป; กระแสเงินสดที่ได้รับ)

โดยที่

  • กระแสเงินสดที่จ่ายออกไป คือ กระแสเงินสดที่จ่ายออกไปทั้งหมดในช่วงระยะเวลาของการลงทุน
  • กระแสเงินสดที่ได้รับ คือ กระแสเงินสดที่ได้รับทั้งหมดในช่วงระยะเวลาของการลงทุน

ตัวอย่างการคำนวณ IRR ด้วยฟังก์ชัน IRR ใน Microsoft Excel มีดังนี้

=IRR(-100000;50000;50000;50000;50000)

ผลลัพธ์ที่ได้คือ 15.24% ซึ่งหมายความว่า การลงทุนในธุรกิจร้านกาแฟของนาย A จะให้ผลตอบแทนภายในที่ 15.24% ต่อปี

  • ฟังก์ชัน XIRR

ฟังก์ชัน XIRR ใน Microsoft Excel จะคำนวณ IRR โดยใช้วิธีหาค่าดอกเบี้ยทบต้นที่สอดคล้องกับกระแสเงินสดของการลงทุน ฟังก์ชัน XIRR มีรูปแบบดังนี้

=XIRR(กระแสเงินสด; ช่วงเวลา; อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น)

โดยที่

  • กระแสเงินสด คือ กระแสเงินสดที่ได้รับทั้งหมดในช่วงระยะเวลาของการลงทุน
  • ช่วงเวลา คือ ช่วงเวลาของกระแสเงินสดแต่ละรายการ
  • อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น คือ อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นที่ใช้ในการคำนวณ

ตัวอย่างการคำนวณ IRR ด้วยฟังก์ชัน XIRR ใน Microsoft Excel มีดังนี้

=XIRR(-100000;{0;1;2;3;4};0)

ผลลัพธ์ที่ได้คือ 15.24% ซึ่งหมายความว่า การลงทุนในธุรกิจร้านกาแฟของนาย A จะให้ผลตอบแทนภายในที่ 15.24% ต่อปี

  • การคำนวณ IRR ด้วยตนเอง

การคำนวณ IRR ด้วยตนเองสามารถทำได้โดยใช้สูตรทางคณิตศาสตร์ สูตรการคำนวณ IRR มีดังนี้

IRR = √(1 + r)^n - 1

โดยที่

  • r คือ อัตราผลตอบแทนภายในที่ต้องการหา
  • n คือ ระยะเวลาของการลงทุน

ตัวอย่างการคำนวณ IRR ด้วยสูตรทางคณิตศาสตร์ มีดังนี้

สมมติว่านาย A ลงทุนในธุรกิจร้านกาแฟ โดยลงทุนครั้งแรก 100,000 บาท คาดว่าจะได้รับเงินปันผลปีละ 50,000 บาท เป็นเวลา 5 ปี การคำนวณ IRR ของการลงทุนนี้ มีดังนี้

IRR = √(1 + r)^5 - 1

แทนค่า n = 5 และ PV = -100,000 ลงในสมการจะได้ดังนี้

IRR = √(1 + r)^5 - 1
IRR = √(1 + r)^5 - (-100000)
IRR = √(1 + r)^5 + 100000

จากนั้นนำค่า IRR ที่ได้ไปลองแทนในสมการข้างต้นจนกว่าจะได้ค่า PV เท่ากับ 0

จากการคำนวณจะได้ว่า IRR ของการลงทุนนี้คือ 15.24%

ข้อจำกัดของ IRR

IRR มีข้อจำกัดบางประการที่นักลงทุนควรพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุน ได้แก่

  • IRR ไม่คำนึงถึงความเสี่ยงของการลงทุน
  • IRR ไม่คำนึงถึงระยะเวลาคืนทุนของการลงทุน
  • IRR ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับการลงทุนที่มีกระแสเงินสดต่างกันได้

ดังนั้น นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ประกอบไปด้วย เช่น ความเสี่ยงของการลงทุน ระยะเวลาคืนทุน เป็นต้น

ตัวอย่าง IRR

สมมติว่านาย B กำลังพิจารณาการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ โดยลงทุนครั้งแรก 10 ล้านบาท คาดว่าจะได้รับเงินปันผลปีละ 2 ล้านบาท เป็นเวลา 10 ปี การคำนวณ IRR ของการลงทุนนี้ มีดังนี้

=IRR(-10000000;200000;200000;200000;...;200000)

ผลลัพธ์ที่ได้คือ 12.5% ซึ่งหมายความว่า การลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ของนาย B จะให้ผลตอบแทนภายในที่ 12.5% ต่อปี

สรุป

IRR คืออะไร? การคำนวณและตัวอย่าง จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นว่า IRR ของการลงทุนทั้งสองโครงการสูงกว่าอัตราผลตอบแทนของการลงทุนทางเลือกทั่วไป เช่น ฝากเงินธนาคาร ดังนั้น การลงทุนทั้งสองโครงการจึงมีความคุ้มค่า อย่างไรก็ตาม IRR เป็นเพียงตัวชี้วัดหนึ่งเท่านั้น ในการตัดสินความคุ้มค่าของการลงทุน นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ประกอบไปด้วย เช่น ความเสี่ยงของการลงทุน ระยะเวลาคืนทุน เป็นต้น

IRR สำคัญอย่างไร? ประโยชน์ที่ไม่ควรมองข้าม

IRR หรือ Internal Rate of Return เป็นอัตราผลตอบแทนภายในที่คาดหวังของการลงทุน เป็นตัววัดประสิทธิภาพของการลงทุนว่าสามารถสร้างผลตอบแทนได้คุ้มค่ากับเงินลงทุนหรือไม่

IRR สำคัญอย่างไร?

IRR มีความสำคัญต่อการลงทุนเป็นอย่างมาก เพราะช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้ว่าควรลงทุนหรือไม่ โดยพิจารณาจากอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังเทียบกับต้นทุนการลงทุน ถ้า IRR สูงกว่าต้นทุนการลงทุน ก็แสดงว่าการลงทุนนั้นคุ้มค่า แต่ถ้า IRR ต่ำกว่าต้นทุนการลงทุน ก็แสดงว่าการลงทุนนั้นไม่คุ้มค่า

IRR สำคัญอย่างไร? ประโยชน์ที่ไม่ควรมองข้าม โดย IRR เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยในการตัดสินใจลงทุนได้อย่างเหมาะสม โดยพิจารณาจากอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังเทียบกับต้นทุนการลงทุน ซึ่ง ประโยชน์ที่ไม่ควรมองข้าม เพราะสามารถช่วยนักลงทุนตัดสินใจลงทุนได้อย่างคุ้มค่า

ประโยชน์ที่ไม่ควรมองข้าม มีดังนี้

ประโยชน์ที่ 1: ช่วยตัดสินใจลงทุนได้อย่างเหมาะสม

IRR เป็นเครื่องมือที่ช่วยประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนได้อย่างแม่นยำ โดยพิจารณาจากอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังเทียบกับต้นทุนการลงทุน ทำให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจได้ว่าควรลงทุนหรือไม่

IRR ช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจลงทุนได้อย่างเหมาะสม เพราะ IRR จะบอกให้นักลงทุนรู้ว่าการลงทุนนั้นสามารถสร้างผลตอบแทนได้คุ้มค่ากับเงินลงทุนหรือไม่ โดยพิจารณาจากอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังเทียบกับต้นทุนการลงทุน ถ้า IRR สูงกว่าต้นทุนการลงทุน ก็แสดงว่าการลงทุนนั้นคุ้มค่า แต่ถ้า IRR ต่ำกว่าต้นทุนการลงทุน ก็แสดงว่าการลงทุนนั้นไม่คุ้มค่า

ยกตัวอย่างเช่น คุณมีทุน 100,000 บาท และกำลังพิจารณาลงทุนในโครงการ A และ B โดยโครงการ A มีอัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง 12% ต่อปี และโครงการ B มีอัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง 10% ต่อปี จากการพิจารณา IRR ของทั้งสองโครงการพบว่า IRR ของโครงการ A อยู่ที่ 12% ต่อปี และ IRR ของโครงการ B อยู่ที่ 10% ต่อปี ดังนั้น การลงทุนในโครงการ A คุ้มค่ากว่าการลงทุนในโครงการ B เพราะโครงการ A มีอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังสูงกว่าโครงการ B

IRR จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยนักลงทุนตัดสินใจลงทุนได้อย่างเหมาะสม โดยพิจารณาจากอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังเทียบกับต้นทุนการลงทุน โดยนักลงทุนควรใช้ IRR ประกอบกับการพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ความเสี่ยงของการลงทุน ผลตอบแทนที่คาดหวังในระยะยาว เป็นต้น เพื่อให้การตัดสินใจลงทุนเป็นไปอย่างรอบคอบ

นอกจากนี้ IRR ยังสามารถนำมาเปรียบเทียบการลงทุนหลายประเภท เพื่อช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้ว่าควรลงทุนในประเภทใด โดยพิจารณาจากอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังเทียบกับต้นทุนการลงทุน หากการลงทุนประเภทใดมี IRR สูงกว่า ก็แสดงว่าการลงทุนประเภทนั้นคุ้มค่ากว่า

ยกตัวอย่างเช่น คุณกำลังพิจารณาลงทุนในหุ้น กองทุนรวม และอสังหาริมทรัพย์ โดยพิจารณาจาก IRR พบว่า หุ้นมี IRR อยู่ที่ 15% ต่อปี กองทุนรวมมี IRR อยู่ที่ 12% ต่อปี และอสังหาริมทรัพย์มี IRR อยู่ที่ 10% ต่อปี ดังนั้น การลงทุนในหุ้นคุ้มค่ากว่าการลงทุนในกองทุนรวมและอสังหาริมทรัพย์

ประโยชน์ที่ 2: ช่วยเปรียบเทียบการลงทุนหลายประเภท

IRR สามารถนำมาเปรียบเทียบการลงทุนหลายประเภท เพื่อให้เห็นภาพรวมว่าการลงทุนประเภทใดคุ้มค่ากว่ากัน โดยพิจารณาจากอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังเทียบกับต้นทุนการลงทุน

ยกตัวอย่างเช่น คุณกำลังพิจารณาลงทุนในหุ้น กองทุนรวม และอสังหาริมทรัพย์ โดยพิจารณาจาก IRR พบว่า หุ้นมี IRR อยู่ที่ 15% ต่อปี กองทุนรวมมี IRR อยู่ที่ 12% ต่อปี และอสังหาริมทรัพย์มี IRR อยู่ที่ 10% ต่อปี ดังนั้น การลงทุนในหุ้นคุ้มค่ากว่าการลงทุนในกองทุนรวมและอสังหาริมทรัพย์

IRR ช่วยให้นักลงทุนสามารถเปรียบเทียบการลงทุนหลายประเภทได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยพิจารณาจากอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังเทียบกับต้นทุนการลงทุน ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้ว่าควรลงทุนในประเภทใด เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุด

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรใช้ IRR ประกอบกับการพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ความเสี่ยงของการลงทุน ผลตอบแทนที่คาดหวังในระยะยาว เป็นต้น เพื่อให้การตัดสินใจลงทุนเป็นไปอย่างรอบคอบ

ยกตัวอย่างเช่น การลงทุนในหุ้นมี IRR อยู่ที่ 15% ต่อปี แต่มีความเสี่ยงสูง ในขณะที่การลงทุนในกองทุนรวมมี IRR อยู่ที่ 12% ต่อปี แต่มีความเสี่ยงต่ำ ดังนั้น นักลงทุนต้องพิจารณาความเสี่ยงของการลงทุนประกอบกับ IRR เพื่อให้ตัดสินใจลงทุนได้อย่างเหมาะสม

นอกจากนี้ IRR ยังสามารถใช้เปรียบเทียบการลงทุนประเภทเดียวกันที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน เช่น การลงทุนในหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในทำเลเดียวกัน เป็นต้น โดยพิจารณาจาก IRR เพื่อช่วยตัดสินใจได้ว่าควรลงทุนในบริษัทหรือโครงการใด เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุด

ประโยชน์ที่ 3: ช่วยกำหนดเป้าหมายการลงทุน

IRR สามารถกำหนดเป็นเป้าหมายการลงทุน เพื่อให้นักลงทุนสามารถบริหารจัดการการลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

ยกตัวอย่างเช่น คุณตั้งเป้าหมายการลงทุนให้มีเงินเก็บ 1 ล้านบาทภายใน 5 ปี จากการพิจารณา IRR พบว่า การลงทุนในหุ้นมี IRR อยู่ที่ 15% ต่อปี ดังนั้น คุณจะต้องลงทุนในหุ้นให้ได้เงินจำนวน 200,000 บาท ภายใน 2 ปีครึ่ง เพื่อให้มีเงินเก็บ 1 ล้านบาทภายใน 5 ปี

นอกจากประโยชน์ที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว IRR ยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในด้านอื่นๆ ได้อีก เช่น ใช้ในการประเมินความคุ้มค่าของโครงการก่อสร้าง โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น

ดังนั้น IRR จึงถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่นักลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจ เพื่อให้สามารถใช้ IRR ได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยให้การลงทุนประสบความสำเร็จ

ตัวอย่างประโยชน์ของ IRR

สมมติว่า คุณมีทุน 100,000 บาท และกำลังพิจารณาลงทุนในโครงการ A และ B โดยโครงการ A มีอัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง 12% ต่อปี และโครงการ B มีอัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง 10% ต่อปี จากการพิจารณา IRR ของทั้งสองโครงการพบว่า IRR ของโครงการ A อยู่ที่ 12% ต่อปี และ IRR ของโครงการ B อยู่ที่ 10% ต่อปี ดังนั้น การลงทุนในโครงการ A คุ้มค่ากว่าการลงทุนในโครงการ B เพราะโครงการ A มีอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังสูงกว่าโครงการ B

นอกจากนี้ IRR ยังสามารถใช้เปรียบเทียบการลงทุนหลายประเภทได้ เช่น การลงทุนในหุ้น การลงทุนในกองทุนรวม การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น โดยพิจารณาจากอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังเทียบกับต้นทุนการลงทุน หากการลงทุนประเภทใดมี IRR สูงกว่า ก็แสดงว่าการลงทุนประเภทนั้นคุ้มค่ากว่า

สรุป

IRR สำคัญอย่างไร? ประโยชน์ที่ไม่ควรมองข้าม สรุปได้ว่า IRR เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยในการตัดสินใจลงทุนได้อย่างเหมาะสม โดยพิจารณาจากอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังเทียบกับต้นทุนการลงทุน ซึ่งประโยชน์ของ IRR นั้นไม่ควรมองข้าม เพราะสามารถช่วยนักลงทุนตัดสินใจลงทุนได้อย่างคุ้มค่า

วิธีใช้ IRR ในการตัดสินใจลงทุน เลือกลงทุนอย่างไรให้คุ้มค่า

ในการตัดสินใจลงทุน การประเมินความคุ้มค่าของโครงการเป็นสิ่งสำคัญ ผู้ลงทุนต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ต้นทุนการลงทุน กระแสเงินสดรับสุทธิ และระยะเวลาคืนทุน เป็นต้น หนึ่งในเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินความคุ้มค่าของโครงการคือ อัตราผลตอบแทนภายใน (Internal Rate of Return: IRR)

IRR คือ อัตราส่วนลดที่ทำให้มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับสุทธิของโครงการมีค่าเท่ากับต้นทุนการลงทุน พูดง่ายๆ คือ อัตราผลตอบแทนที่โครงการจะสร้างให้ได้ตามต้นทุนการลงทุน ในกรณีที่ IRR สูงกว่าต้นทุนการลงทุน แสดงว่าโครงการนั้นคุ้มค่าที่จะลงทุน

วิธีการคำนวณ IRR

การคำนวณ IRR สามารถทำได้หลายวิธี วิธีที่ง่ายที่สุดคือใช้วิธีลองผิดลองถูก (Trial and Error) โดยสมมติค่า IRR ขึ้นมาทีละค่า แล้วคำนวณมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับสุทธิของโครงการ หากค่ามูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับสุทธิมีค่าเท่ากับต้นทุนการลงทุน แสดงว่าค่า IRR นั้นคือค่าที่ถูกต้อง

อีกวิธีหนึ่งในการหา IRR คือการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยคำนวณ ซึ่งในปัจจุบันมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์มากมายที่สามารถคำนวณ IRR ได้

ตัวอย่างการใช้ IRR ในการตัดสินใจลงทุน

สมมติว่าบริษัทแห่งหนึ่งมีโครงการลงทุนในเครื่องจักรใหม่มูลค่า 10 ล้านบาท โดยคาดว่าจะมีกระแสเงินสดรับสุทธิในปีแรก 3 ล้านบาท ปีที่สอง 4 ล้านบาท และปีที่สาม 5 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของบริษัทอยู่ที่ 10%

จากข้อมูลข้างต้น เราสามารถคำนวณ IRR ของโครงการได้ดังนี้

IRR = ?

NPV = -10 + 3/(1+0.1)^1 + 4/(1+0.1)^2 + 5/(1+0.1)^3

เมื่อคำนวณค่า NPV จะได้ค่าเท่ากับ 1.26

เนื่องจากค่า NPV มีค่ามากกว่าศูนย์ แสดงว่า IRR ของโครงการจะสูงกว่า 10%

หากเราลองสมมติค่า IRR ขึ้นมาทีละค่า พบว่าค่า IRR ที่ใกล้เคียงกับ NPV มากที่สุดคือ 12%

ดังนั้น สรุปได้ว่า โครงการลงทุนในเครื่องจักรใหม่ของ บริษัทแห่งนี้คุ้มค่าที่จะลงทุน เนื่องจาก IRR สูงกว่าต้นทุนการลงทุนที่ 10%

ข้อดีและข้อเสียของการใช้ IRR ในการตัดสินใจลงทุน

ข้อดีของการใช้ IRR ในการตัดสินใจลงทุนคือ

  • เข้าใจง่าย สามารถใช้เปรียบเทียบโครงการลงทุนต่างๆ ได้ง่าย

IRR เป็นอัตราผลตอบแทนที่แสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ ทำให้ผู้ลงทุนสามารถเข้าใจได้ง่าย และสามารถเปรียบเทียบโครงการลงทุนต่างๆ ได้ง่าย โดยโครงการที่มี IRR สูงกว่าย่อมคุ้มค่ากว่าโครงการที่มี IRR ต่ำกว่า

  • ครอบคลุมถึงระยะเวลาคืนทุนของโครงการ

IRR คำนวณจากกระแสเงินสดรับสุทธิทั้งหมดของโครงการ ซึ่งรวมถึงกระแสเงินสดรับสุทธิที่เกิดขึ้นในอนาคตด้วย ทำให้ IRR ครอบคลุมถึงระยะเวลาคืนทุนของโครงการด้วย โดยโครงการที่มี IRR สูงกว่าย่อมมีระยะเวลาคืนทุนที่สั้นกว่าโครงการที่มี IRR ต่ำกว่า

ข้อดีของการใช้ IRR เหล่านี้ ทำให้ IRR เป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมในการตัดสินใจลงทุน อย่างไรก็ตาม IRR ก็มีข้อเสียที่ต้องพิจารณาเช่นกัน

ข้อเสียของการใช้ IRR ในการตัดสินใจลงทุนคือ

  • ขึ้นอยู่กับสมมติฐานของกระแสเงินสดรับสุทธิในอนาคต

IRR คำนวณจากกระแสเงินสดรับสุทธิในอนาคต ซึ่งขึ้นอยู่กับสมมติฐานต่างๆ เช่น ปริมาณการขาย ราคาสินค้าหรือบริการ เป็นต้น หากสมมติฐานเหล่านี้ไม่เป็นไปตามความเป็นจริง จะทำให้ IRR ที่คำนวณได้คลาดเคลื่อนได้

  • ไม่สามารถเปรียบเทียบโครงการลงทุนที่มีระยะเวลาคืนทุนต่างกันได้

IRR ไม่สามารถเปรียบเทียบโครงการลงทุนที่มีระยะเวลาคืนทุนต่างกันได้ เนื่องจาก IRR ขึ้นอยู่กับระยะเวลาคืนทุนด้วย ดังนั้น โครงการที่มีระยะเวลาคืนทุนต่างกันอาจให้ IRR ต่างกันได้ แม้ว่าโครงการทั้งสองจะมีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) เท่ากัน

ดังนั้น ผู้ลงทุนควรพิจารณาข้อดีและข้อเสียของการใช้ IRR ประกอบกันก่อนตัดสินใจลงทุน รวมถึงการใช้ IRR ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ ในการประเมินความคุ้มค่าของโครงการ เพื่อให้ได้การตัดสินใจที่ถูกต้องและคุ้มค่ามากที่สุด

การประยุกต์ใช้ IRR ในการตัดสินใจลงทุน

IRR สามารถใช้ประยุกต์ใช้เพื่อการตัดสินใจลงทุนในหลากหลายรูปแบบ เช่น

  • การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร เช่น เครื่องจักร อาคาร โรงงาน

IRR สามารถใช้ประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร เช่น การลงทุนซื้อเครื่องจักรใหม่ การลงทุนสร้างโรงงานใหม่ เป็นต้น โดยพิจารณาว่า IRR สูงกว่าต้นทุนการลงทุนหรือไม่

  • การลงทุนในธุรกิจใหม่

IRR สามารถใช้ประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนในธุรกิจใหม่ เช่น การลงทุนเปิดร้านใหม่ การลงทุนซื้อแฟรนไชส์ เป็นต้น โดยพิจารณาว่า IRR สูงกว่าต้นทุนการลงทุนหรือไม่

  • การลงทุนในโครงการก่อสร้าง

IRR สามารถใช้ประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนในโครงการก่อสร้าง เช่น การลงทุนสร้างถนน การลงทุนสร้างเขื่อน เป็นต้น โดยพิจารณาว่า IRR สูงกว่าต้นทุนการลงทุนหรือไม่

  • การลงทุนในหลักทรัพย์

IRR สามารถใช้ประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนในหลักทรัพย์ เช่น การลงทุนซื้อหุ้น การลงทุนซื้อกองทุนรวม เป็นต้น โดยพิจารณาว่า IRR สูงกว่าต้นทุนการลงทุนหรือไม่

ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ IRR ในการตัดสินใจลงทุน

  • บริษัทแห่งหนึ่งมีโครงการลงทุนในเครื่องจักรใหม่มูลค่า 10 ล้านบาท โดยคาดว่าจะมีกระแสเงินสดรับสุทธิในปีแรก 3 ล้านบาท ปีที่สอง 4 ล้านบาท และปีที่สาม 5 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของบริษัทอยู่ที่ 10%

จากข้อมูลข้างต้น เราสามารถคำนวณ IRR ของโครงการได้ดังนี้

IRR = ?

NPV = -10 + 3/(1+0.1)^1 + 4/(1+0.1)^2 + 5/(1+0.1)^3

เมื่อคำนวณค่า NPV จะได้ค่าเท่ากับ 1.26

เนื่องจากค่า NPV มีค่ามากกว่าศูนย์ แสดงว่า IRR ของโครงการจะสูงกว่า 10%

หากเราลองสมมติค่า IRR ขึ้นมาทีละค่า พบว่าค่า IRR ที่ใกล้เคียงกับ NPV มากที่สุดคือ 12%

ดังนั้น สรุปได้ว่า โครงการลงทุนในเครื่องจักรใหม่ของ บริษัทแห่งนี้คุ้มค่าที่จะลงทุน เนื่องจาก IRR สูงกว่าต้นทุนการลงทุนที่ 10%

จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นได้ว่า IRR สามารถใช้ประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนในเครื่องจักรใหม่ โดยพิจารณาว่า IRR สูงกว่าต้นทุนการลงทุนหรือไม่

ผู้ลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน รวมถึงการใช้ IRR ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ ในการประเมินความคุ้มค่าของโครงการ เพื่อให้ได้การตัดสินใจที่ถูกต้องและคุ้มค่ามากที่สุด

IRR เคล็ดลับลงทุนให้ได้ผลตอบแทนสูงสุด รู้ไว้ก่อนลงทุนจะได้ไม่พลาด

ในการลงทุน ผลตอบแทนเป็นสิ่งที่นักลงทุนทุกคนต่างคาดหวังกัน แต่การจะรู้ว่าการลงทุนนั้นให้ผลตอบแทนคุ้มค่าหรือไม่ จำเป็นต้องใช้เครื่องมือในการประเมินผลตอบแทน ซึ่งหนึ่งในเครื่องมือที่นิยมใช้กันคือ IRR หรือ Internal Rate of Return

IRR คืออะไร

IRR ย่อมาจาก Internal Rate of Return หมายถึง อัตราคิดลดที่ทำให้มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดสุทธิ (Net Present Value: NPV) เท่ากับศูนย์ พูดง่ายๆ ก็คือ IRR คือ อัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุน

วิธีคำนวณ IRR

การคำนวณ IRR สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การคำนวณด้วยตนเองด้วยสูตรคณิตศาสตร์หรือใช้โปรแกรมสำเร็จรูป เช่น Excel หรือ Google Sheets ตัวอย่างสูตรการคำนวณ IRR ด้วยตนเองมีดังนี้

IRR = (NPV + 1) / (NPV - 1)

โดย NPV คือ มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดสุทธิ

ตัวอย่างการคำนวณ IRR

สมมติว่าเรามีโครงการลงทุนมูลค่า 100,000 บาท โดยคาดว่าจะมีกระแสเงินสดสุทธิในปีแรก 20,000 บาท ในปีที่สอง 30,000 บาท และในปีที่สาม 50,000 บาท อัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ 5%

การคำนวณ IRR ด้วยสูตร Excel มีดังนี้

=XIRR(C2:C4,B2:B4,100000)

ผลลัพธ์ที่ได้คือ 15.24% หมายความว่า การลงทุนนี้ให้ผลตอบแทนที่ 15.24% ต่อปี

IRR กับการตัดสินใจลงทุน

IRR เป็นเครื่องมือสำคัญในการตัดสินใจลงทุน โดยหาก IRR สูงกว่าต้นทุนเงินลงทุน การลงทุนนั้นถือว่าให้ผลตอบแทนคุ้มค่า และควรพิจารณาลงทุน แต่ถ้า IRR ต่ำกว่าต้นทุนเงินลงทุน การลงทุนนั้นถือว่าให้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่า และควรพิจารณาไม่ลงทุน

ยกตัวอย่างเช่น การลงทุนโครงการก่อสร้างบ้านพักตากอากาศมูลค่า 1 ล้านบาท โดยคาดว่าจะมีกระแสเงินสดสุทธิในปีแรก 200,000 บาท ในปีที่สอง 300,000 บาท และในปีที่สาม 500,000 บาท อัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ 5%

การคำนวณ IRR พบว่า IRR เท่ากับ 15% หมายความว่า การลงทุนนี้ให้ผลตอบแทนที่ 15% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าต้นทุนเงินกู้ที่ 5% ดังนั้น การลงทุนนี้จึงถือว่าให้ผลตอบแทนคุ้มค่า และควรพิจารณาลงทุน

ข้อดีและข้อจำกัดของ IRR

ข้อดีของ IRR ที่ทำให้เป็นเครื่องมือที่นิยมใช้กันคือ

  • เป็นเครื่องมือที่เข้าใจง่าย
  • สามารถนำมาเปรียบเทียบผลตอบแทนจากการลงทุนที่แตกต่างกันได้

ข้อจำกัดของ IRR มีดังนี้

  • ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบผลตอบแทนจากการลงทุนที่มีระยะเวลาต่างกันได้
  • ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบผลตอบแทนจากการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่างกันได้

สรุป

IRR เป็นเครื่องมือสำคัญในการตัดสินใจลงทุน โดยหาก IRR สูงกว่าต้นทุนเงินลงทุน การลงทุนนั้นถือว่าให้ผลตอบแทนคุ้มค่า และควรพิจารณาลงทุน แต่ถ้า IRR ต่ำกว่าต้นทุนเงินลงทุน การลงทุนนั้นถือว่าให้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่า และควรพิจารณาไม่ลงทุน

นอกจากการใช้ IRR ในการตัดสินใจลงทุนแล้ว นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ด้วย เช่น ความเสี่ยงของการลงทุน ระยะเวลาคืนทุน เป็นต้น เพื่อให้การลงทุนนั้นมีประสิทธิภาพและได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า