การวิจัยเป็นกระบวนการแสวงหาความรู้อย่างเป็นระบบและระเบียบ โดยอาศัยข้อมูลเชิงประจักษ์เป็นหลัก ในการเขียนงานวิจัยนั้น นอกเหนือจากการนำเสนอผลการวิจัยแล้ว ผู้วิจัยยังจำเป็นต้องนำเสนอทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง รวมถึง แนวคิดในการเขียนทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจบริบทของปัญหาการวิจัยและที่มาของสมมติฐานการวิจัย
ทฤษฎี หมายถึง แนวคิดหรือกรอบความคิดที่อธิบายปรากฏการณ์หรือความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ ในทางวิทยาศาสตร์ ทฤษฎีที่ดีควรมีความสอดคล้องกัน มีหลักฐานเชิงประจักษ์สนับสนุน และมีความสามารถในการอธิบายปรากฏการณ์ได้อย่างครอบคลุม
การวิจัยที่เกี่ยวข้อง หมายถึง งานวิจัยที่เคยทำมาก่อนหน้านี้ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาการวิจัยที่กำลังศึกษา ผู้วิจัยควรศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด เพื่อหาข้อมูลเชิงลึกและข้อค้นพบใหม่ๆ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการวิจัยของตนเองได้
แนวคิดในการเขียนทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง มีดังนี้
1. ความสำคัญของทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมีความสำคัญต่อการศึกษาวิจัยเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นพื้นฐานในการให้กรอบแนวคิดและแนวทางในการดำเนินการวิจัย ช่วยให้ผู้วิจัยเข้าใจประเด็นปัญหาและบริบทของปัญหาได้ดีขึ้น นำไปสู่การกำหนดสมมติฐานและคำถามวิจัยที่ชัดเจนและสอดคล้องกับความเป็นจริง ช่วยให้ผู้วิจัยสามารถพัฒนาเครื่องมือและวิธีการวิจัยที่เหมาะสมกับประเด็นปัญหาและบริบทของปัญหาได้ และช่วยให้ผู้วิจัยสามารถตีความผลการวิจัยได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
ความสำคัญของทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องสามารถสรุปได้ดังนี้
- ช่วยให้เข้าใจประเด็นปัญหาและบริบทของปัญหาได้ดีขึ้น
ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถเข้าใจประเด็นปัญหาและบริบทของปัญหาได้ดีขึ้น โดยช่วยให้ผู้วิจัยสามารถระบุสาเหตุและปัจจัยที่เกี่ยวข้องของปัญหาได้ รวมถึงเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับปัญหา ซึ่งจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถกำหนดสมมติฐานและคำถามวิจัยที่ชัดเจนและสอดคล้องกับความเป็นจริงได้
- ช่วยให้พัฒนาเครื่องมือและวิธีการวิจัยที่เหมาะสม
ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถพัฒนาเครื่องมือและวิธีการวิจัยที่เหมาะสมกับประเด็นปัญหาและบริบทของปัญหาได้ โดยช่วยให้ผู้วิจัยสามารถระบุเครื่องมือและวิธีการวิจัยที่เหมาะสมกับตัวแปรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับปัญหา ซึ่งจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความน่าเชื่อถือ
- ช่วยให้ตีความผลการวิจัยได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถตีความผลการวิจัยได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม โดยช่วยให้ผู้วิจัยสามารถเปรียบเทียบผลการวิจัยของตนเองกับผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถอธิบายและอธิบายผลการวิจัยได้อย่างมีเหตุผลและสอดคล้องกับความเป็นจริง
จากประโยชน์ดังกล่าวจะเห็นได้ว่าทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมีความสำคัญต่อการศึกษาวิจัยเป็นอย่างมาก ผู้วิจัยควรให้ความสำคัญกับการศึกษาทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ เพื่อให้การศึกษาวิจัยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุวัตถุประสงค์ของการศึกษาวิจัย
2. การค้นหาทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง
การค้นหาทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้องเป็นขั้นตอนสำคัญในการเริ่มต้นการวิจัย เนื่องจากจะช่วยให้ผู้วิจัยเข้าใจประเด็นปัญหาและบริบทของปัญหาได้ดีขึ้น นำไปสู่การกำหนดสมมติฐานและคำถามวิจัยที่ชัดเจนและสอดคล้องกับความเป็นจริง ช่วยให้ผู้วิจัยสามารถพัฒนาเครื่องมือและวิธีการวิจัยที่เหมาะสมกับประเด็นปัญหาและบริบทของปัญหาได้ และช่วยให้ผู้วิจัยสามารถตีความผลการวิจัยได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
การค้นหาทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้องสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
2.1 การค้นหาจากห้องสมุด เป็นวิธีหนึ่งที่ผู้วิจัยสามารถค้นหาทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้ ห้องสมุดเป็นแหล่งรวบรวมความรู้และข้อมูลต่างๆ มากมาย รวมถึงทรัพยากรสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย เช่น ฐานข้อมูลวารสารวิชาการ ฐานข้อมูลหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
ในการค้นหาจากห้องสมุด ผู้วิจัยสามารถดำเนินการได้ดังนี้
- ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับห้องสมุด ก่อนเริ่มค้นหา ผู้วิจัยควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับห้องสมุด เช่น ประเภทของทรัพยากรสารสนเทศที่มีให้บริการ วิธีการสืบค้นทรัพยากรสารสนเทศ เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้สามารถหาได้จากเว็บไซต์ของห้องสมุด หรือสอบถามจากเจ้าหน้าที่ห้องสมุด
- กำหนดคำค้น เป็นขั้นตอนสำคัญในการค้นหา ผู้วิจัยควรกำหนดคำค้นให้ครอบคลุมเนื้อหาของประเด็นปัญหาที่ศึกษา โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น ความเกี่ยวข้องของคำค้นกับประเด็นปัญหา ความทันสมัยของคำค้น ความน่าเชื่อถือของคำค้น
- ใช้เครื่องมือในการสืบค้น ห้องสมุดจะมีเครื่องมือในการสืบค้นต่างๆ มากมาย เช่น ระบบสืบค้นอัตโนมัติ (OPAC) ฐานข้อมูลออนไลน์ เป็นต้น ผู้วิจัยควรเลือกใช้เครื่องมือในการสืบค้นที่เหมาะสมกับประเภทของทรัพยากรสารสนเทศที่ต้องการค้นหา
- ประเมินผลการค้นหา หลังจากได้รับผลการค้นหาแล้ว ผู้วิจัยควรประเมินผลการค้นหาว่ามีความเกี่ยวข้องและเพียงพอหรือไม่ โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ความเกี่ยวข้องของผลการค้นหากับประเด็นปัญหา ความทันสมัยของผลการค้นหา ความน่าเชื่อถือของผลการค้นหา
2.2 การค้นหาจากอินเทอร์เน็ต เป็นวิธีหนึ่งที่ผู้วิจัยสามารถค้นหาทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้ อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลต่างๆ มากมาย รวมถึงทรัพยากรสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย เช่น เว็บไซต์ของหน่วยงานวิจัย เว็บไซต์ของสถาบันการศึกษา เว็บไซต์ของวารสารวิชาการ เป็นต้น
ในการค้นหาจากอินเทอร์เน็ต ผู้วิจัยสามารถดำเนินการได้ดังนี้
- กำหนดคำค้น เป็นขั้นตอนสำคัญในการค้นหา ผู้วิจัยควรกำหนดคำค้นให้ครอบคลุมเนื้อหาของประเด็นปัญหาที่ศึกษา โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น ความเกี่ยวข้องของคำค้นกับประเด็นปัญหา ความทันสมัยของคำค้น ความน่าเชื่อถือของคำค้น
- ใช้เครื่องมือในการสืบค้น อินเทอร์เน็ตจะมีเครื่องมือในการสืบค้นต่างๆ มากมาย เช่น เครื่องมือค้นหาทั่วไป (Google, Bing, Yahoo) เครื่องมือค้นหาเฉพาะเจาะจง (Google Scholar, ACM Digital Library, IEEE Xplore) เป็นต้น ผู้วิจัยควรเลือกใช้เครื่องมือในการสืบค้นที่เหมาะสมกับประเภทของทรัพยากรสารสนเทศที่ต้องการค้นหา
- ประเมินผลการค้นหา หลังจากได้รับผลการค้นหาแล้ว ผู้วิจัยควรประเมินผลการค้นหาว่ามีความเกี่ยวข้องและเพียงพอหรือไม่ โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ความเกี่ยวข้องของผลการค้นหากับประเด็นปัญหา ความทันสมัยของผลการค้นหา ความน่าเชื่อถือของผลการค้นหา
2.3 การสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญ การสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญเป็นวิธีหนึ่งที่ผู้วิจัยสามารถค้นหาทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้ ผู้เชี่ยวชาญคือบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาที่ศึกษา ผู้วิจัยสามารถสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำในการค้นหาทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้
ในการสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญ ผู้วิจัยควรเตรียมคำถามที่ชัดเจนและครอบคลุม เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้ ผู้วิจัยควรระบุประเด็นปัญหาที่ศึกษา วัตถุประสงค์ของการวิจัย และข้อมูลที่ต้องการทราบอย่างชัดเจน
ตัวอย่างคำถามที่อาจใช้สอบถามจากผู้เชี่ยวชาญ
- แนวคิดหลักของทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาที่ศึกษาคืออะไร
- ผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาที่ศึกษามีประเด็นใดบ้าง
- มีงานวิจัยใดบ้างที่ศึกษาประเด็นปัญหาที่คล้ายคลึงกัน
ข้อดีของการสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญ
- ได้รับข้อมูลที่มีความถูกต้องและเชื่อถือได้ ผู้เชี่ยวชาญมีความรู้และประสบการณ์ในสาขาที่เกี่ยวข้อง ทำให้สามารถให้ข้อมูลที่มีความถูกต้องและเชื่อถือได้
- ได้รับข้อมูลเชิงลึกที่อาจไม่พบจากแหล่งอื่นๆ ผู้เชี่ยวชาญอาจให้ข้อมูลเชิงลึกที่อาจไม่พบจากแหล่งอื่นๆ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับทิศทางการวิจัยในอนาคต ข้อมูลเกี่ยวกับข้อจำกัดของงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
ข้อเสียของการสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญ
- อาจต้องใช้เวลาในการหาผู้เชี่ยวชาญที่เหมาะสมกับสาขาที่เกี่ยวข้อง และมีความเชี่ยวชาญในประเด็นปัญหาที่ศึกษา
- อาจต้องเสียค่าใช้จ่าย ผู้เชี่ยวชาญอาจเรียกเก็บค่าตอบแทนสำหรับการให้คำปรึกษา
- อาจไม่ได้รับการตอบคำถามที่ตรงใจ ผู้เชี่ยวชาญอาจไม่สามารถตอบคำถามที่เฉพาะเจาะจงได้ เนื่องจากมีขอบเขตความรู้ที่จำกัด
ในการค้นหาทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้
- ความเกี่ยวข้องของทฤษฎีและงานวิจัยกับประเด็นปัญหา ผู้วิจัยควรพิจารณาว่าทฤษฎีและงานวิจัยที่พบมีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับประเด็นปัญหาที่ศึกษา โดยพิจารณาจากตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหา
- ความทันสมัยของทฤษฎีและงานวิจัย ผู้วิจัยควรพิจารณาว่าทฤษฎีและงานวิจัยที่พบมีความทันสมัยเพียงพอหรือไม่ โดยพิจารณาจากวันที่ตีพิมพ์
- ความน่าเชื่อถือของทฤษฎีและงานวิจัย ผู้วิจัยควรพิจารณาว่าทฤษฎีและงานวิจัยที่พบมีความน่าเชื่อถือหรือไม่ โดยพิจารณาจากแหล่งที่มาของทฤษฎีและงานวิจัย
ในการเขียนบทคัดย่อของทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยควรระบุข้อมูลสำคัญต่างๆ ดังนี้
- ชื่อของทฤษฎีหรืองานวิจัย
- ชื่อผู้วิจัย
- ปีที่ตีพิมพ์
- วารสารหรือหนังสือที่ตีพิมพ์
- วัตถุประสงค์ของการวิจัย
- วิธีการศึกษา
- ผลการวิจัย
การค้นหาทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบจะช่วยให้ผู้วิจัยเข้าใจประเด็นปัญหาและบริบทของปัญหาได้ดีขึ้น นำไปสู่การศึกษาวิจัยที่มีประสิทธิภาพและบรรลุวัตถุประสงค์ของการศึกษาวิจัย
3. การเขียนทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง
การเขียนทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้องเป็นส่วนสำคัญของการเขียนรายงานการวิจัย เป็นการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาที่ศึกษา ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจประเด็นปัญหาและบริบทของปัญหาได้ดีขึ้น รวมถึงเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับปัญหา
การเขียนทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้องควรประกอบด้วยส่วนสำคัญ ดังนี้
- บทนำ ควรกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการเขียนทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง อธิบายความสำคัญของทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และให้ภาพรวมของเนื้อหาที่นำเสนอ
- ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ควรนำเสนอทฤษฎีที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วนและครอบคลุม โดยอธิบายแนวคิดหลักของทฤษฎี ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎี และผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
- งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ควรนำเสนองานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วนและครอบคลุม โดยอธิบายวัตถุประสงค์ของการวิจัย วิธีการศึกษา ผลการวิจัย และข้อจำกัดของการวิจัย
- การอภิปราย ควรอภิปรายและวิเคราะห์ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยเชื่อมโยงกับประเด็นปัญหาที่ศึกษา อธิบายความสอดคล้องกับผลการวิจัยของตนเอง และข้อเสนอแนะสำหรับการศึกษาวิจัยในอนาคต
ในการเขียนทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้
- ความชัดเจน การนำเสนอข้อมูลควรมีความชัดเจน เข้าใจง่าย และกระชับ
- ความถูกต้อง ข้อมูลทั้งหมดที่นำเสนอควรถูกต้องและเชื่อถือได้
- ความเชื่อมโยง ควรเชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย
- ความสร้างสรรค์ การนำเสนอข้อมูลควรมีความสร้างสรรค์และน่าสนใจ เพื่อให้ผู้อ่านมีส่วนร่วมในการอ่าน
การเขียนทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจประเด็นปัญหาและบริบทของปัญหาได้ดีขึ้น รวมถึงเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับปัญหา ซึ่งจะช่วยให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจผลการวิจัยของตนเองได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
ตัวอย่าง การเขียนทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง
สมมติว่าผู้วิจัยต้องการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านครอบครัวกับพฤติกรรมเสี่ยงของวัยรุ่น ผู้วิจัยอาจเริ่มต้นด้วยการทบทวนทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง เช่น ทฤษฎีพันธุกรรม ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม ทฤษฎีแรงจูงใจ ทฤษฎีการรับรู้ความเสี่ยง เป็นต้น จากนั้นผู้วิจัยอาจศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น งานวิจัยที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านครอบครัวกับพฤติกรรมเสี่ยงของวัยรุ่นในต่างประเทศหรือในประเทศไทย งานวิจัยที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านครอบครัวกับพฤติกรรมเสี่ยงของวัยรุ่นในบริบทที่เฉพาะเจาะจง เช่น วัยรุ่นที่อาศัยอยู่ในชุมชนแออัด วัยรุ่นที่มีปัญหาครอบครัว เป็นต้น
จากการศึกษาทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยอาจสรุปได้ว่าปัจจัยด้านครอบครัวมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมเสี่ยงของวัยรุ่น โดยปัจจัยด้านครอบครัวที่อาจส่งผลต่อพฤติกรรมเสี่ยงของวัยรุ่น ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูก ภาวะเศรษฐกิจของครอบครัว พฤติกรรมของพ่อแม่ เป็นต้น
แนวคิดในการเขียนทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง จะช่วยให้ผู้วิจัยเข้าใจบริบทของปัญหาการวิจัยและที่มาของสมมติฐานการวิจัยได้ดีขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินการวิจัยและการวิเคราะห์ผลการวิจัยอย่างถูกต้อง