คลังเก็บป้ายกำกับ: เคล็ดลับลงทุน IRR

IRR รู้ไว้ก่อนลงทุนจะได้ไม่พลาด

IRR หรือ Internal Rate of Return คือ อัตราผลตอบแทนภายในโครงการ เป็นตัวชี้วัดว่าการลงทุนนั้นคุ้มค่าหรือไม่ โดยคำนวณจากมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) ของกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุน IRR รู้ไว้ก่อนลงทุนจะได้ไม่พลาด

สูตรการคำนวณ IRR มีดังนี้

IRR = n / (∑(CFt / (1+r)^t))

โดยที่

  • n คือ จำนวนปีของการลงทุน
  • CFt คือ กระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับในปีที่ t
  • r คือ อัตราดอกเบี้ยที่ใช้ในการคิดลดกระแสเงินสด

IRR มีค่าเป็นเปอร์เซ็นต์ โดยถ้า IRR มีค่าสูงกว่าต้นทุนของเงินทุน แสดงว่าการลงทุนนั้นคุ้มค่า แต่ถ้า IRR มีค่าต่ำกว่าต้นทุนของเงินทุน แสดงว่าการลงทุนนั้นไม่คุ้มค่า

ตัวอย่างการคำนวณ IRR

สมมติว่าเรามีการลงทุนในโครงการหนึ่ง โดยคาดว่าจะได้รับกระแสเงินสดดังนี้

ปีที่ 1 = 100,000 บาท ปีที่ 2 = 200,000 บาท ปีที่ 3 = 300,000 บาท

ต้นทุนของเงินทุนคือ 10%

จากสูตรการคำนวณ IRR จะได้ดังนี้

IRR = 3 / (100,000 / (1+0.1)^1 + 200,000 / (1+0.1)^2 + 300,000 / (1+0.1)^3)
IRR = 22.47%

จากการคำนวณพบว่า IRR มีค่าเท่ากับ 22.47% ซึ่งสูงกว่าต้นทุนของเงินทุนที่ 10% แสดงว่าการลงทุนในโครงการนี้คุ้มค่า

ประโยชน์ของ IRR

IRR มีประโยชน์ในการตัดสินใจลงทุน โดยสามารถสรุปประโยชน์หลัก ๆ ได้เป็นดังนี้

  • เปรียบเทียบการลงทุนหลายโครงการ

IRR สามารถนำมาเปรียบเทียบการลงทุนหลายโครงการด้วยกัน เพื่อเลือกโครงการที่คุ้มค่าที่สุด โดยโครงการที่มี IRR สูงกว่าจะเป็นโครงการที่คุ้มค่ากว่า

ตัวอย่างเช่น บริษัทแห่งหนึ่งกำลังพิจารณาการลงทุนในโครงการ 2 โครงการ โดยโครงการ A มี IRR เท่ากับ 20% และโครงการ B มี IRR เท่ากับ 15% แสดงว่าโครงการ A คุ้มค่ากว่าโครงการ B

  • ประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนในระยะยาว

IRR สามารถนำมาประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนในระยะยาวได้ โดยพิจารณาจากกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุนตลอดระยะเวลาทั้งหมด

ตัวอย่างเช่น บริษัทแห่งหนึ่งกำลังพิจารณาการลงทุนในเครื่องจักรใหม่ โดยคาดว่าจะได้รับกระแสเงินสดดังนี้

ปีที่ 1 = 500,000 บาท ปีที่ 2 = 600,000 บาท ปีที่ 3 = 700,000 บาท

ต้นทุนของเครื่องจักรคือ 1,000,000 บาท

จากการคำนวณ IRR จะได้ดังนี้

IRR = 3 / (500,000 / (1+r)^1 + 600,000 / (1+r)^2 + 700,000 / (1+r)^3)
IRR = 14.29%

จากการคำนวณพบว่า IRR มีค่าเท่ากับ 14.29% ซึ่งสูงกว่าต้นทุนของเงินทุนที่ 10% แสดงว่าการลงทุนในเครื่องจักรใหม่คุ้มค่า

ข้อควรระวังในการใช้ IRR

IRR มีข้อควรระวังในการใช้อยู่บ้าง ดังนี้

  • IRR ขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยที่ใช้คิดลดกระแสเงินสด

IRR คำนวณจากมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) ของกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุน ดังนั้น IRR จึงขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยที่ใช้คิดลดกระแสเงินสด ดังนั้นจึงควรพิจารณาเลือกใช้อัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม

ตัวอย่างเช่น สมมติว่าบริษัทแห่งหนึ่งกำลังพิจารณาการลงทุนในโครงการหนึ่ง โดยคาดว่าจะได้รับกระแสเงินสดดังนี้

ปีที่ 1 = 100,000 บาท ปีที่ 2 = 200,000 บาท ปีที่ 3 = 300,000 บาท

ต้นทุนของเงินทุนคือ 10%

ถ้าใช้อัตราดอกเบี้ย 10% คำนวณ IRR จะได้เท่ากับ 22.47%

แต่ถ้าใช้อัตราดอกเบี้ย 15% คำนวณ IRR จะได้เท่ากับ 17.65%

จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า IRR มีค่าแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยที่ใช้คิดลดกระแสเงินสด ดังนั้นจึงควรพิจารณาเลือกใช้อัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม

  • IRR ไม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยงของการลงทุน

IRR ไม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยงของการลงทุน ดังนั้นจึงควรพิจารณาความเสี่ยงของการลงทุนควบคู่ไปด้วย

ตัวอย่างเช่น สมมติว่าบริษัทแห่งหนึ่งกำลังพิจารณาการลงทุนในโครงการ 2 โครงการ โดยโครงการ A มี IRR เท่ากับ 20% และโครงการ B มี IRR เท่ากับ 15%

ถ้าพิจารณาจาก IRR เพียงอย่างเดียว โครงการ A ดูเหมือนจะคุ้มค่ากว่าโครงการ B

แต่ถ้าพิจารณาถึงความเสี่ยงของการลงทุนด้วย พบว่าโครงการ A มีความเสี่ยงสูงกว่าโครงการ B มาก ในกรณีนี้ การลงทุนในโครงการ B อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

สรุปได้ว่า IRR เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการตัดสินใจลงทุน อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาข้อควรระวังในการใช้ IRR ควบคู่ไปด้วย เพื่อการลงทุนที่มีประสิทธิภาพsharemore_vert

ข้อควรระวังในการใช้ IRR

IRR เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการตัดสินใจลงทุน อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาข้อควรระวังในการใช้ IRR ควบคู่ไปด้วย เพื่อการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ ดังนี้

  • IRR ขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยที่ใช้คิดลดกระแสเงินสด

IRR คำนวณจากมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) ของกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุน ดังนั้น IRR จึงขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยที่ใช้คิดลดกระแสเงินสด ดังนั้นจึงควรพิจารณาเลือกใช้อัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม

อัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมควรเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สะท้อนถึงต้นทุนของเงินทุนที่ใช้ในการลงทุน เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ อัตราดอกเบี้ยพันธบัตร หรืออัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ทางเลือกอื่น ๆ

  • IRR ไม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยงของการลงทุน

IRR ไม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยงของการลงทุน ดังนั้นจึงควรพิจารณาความเสี่ยงของการลงทุนควบคู่ไปด้วย

ความเสี่ยงของการลงทุน คือ ความเป็นไปได้ที่การลงทุนจะไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ การลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงมักให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ

หากพิจารณาจาก IRR เพียงอย่างเดียว อาจตัดสินใจเลือกการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงโดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

  • IRR อาจมีค่าหลายค่า

ในบางกรณี การลงทุนอาจมีกระแสเงินสดที่เป็นบวกและลบอยู่ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เช่น การลงทุนในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ ในกรณีนี้ IRR อาจมีค่าหลายค่า

หาก IRR มีหลายค่า จะต้องพิจารณาค่า IRR ที่สูงที่สุดและค่า IRR ที่ต่ำที่สุด โดยค่า IRR ที่สูงที่สุดอาจไม่สะท้อนถึงความเป็นจริง เนื่องจากเป็นค่าที่หาได้ยากมาก

  • IRR อาจไม่เหมาะสมกับการลงทุนบางประเภท

IRR เหมาะสมกับการลงทุนที่มีกระแสเงินสดที่คาดหวังได้ค่อนข้างแน่นอน เช่น การลงทุนในเครื่องจักรหรืออุปกรณ์

สำหรับการลงทุนที่มีกระแสเงินสดที่คาดหวังได้ยาก เช่น การลงทุนในธุรกิจใหม่หรือการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงิน อาจใช้เครื่องมืออื่น ๆ ในการช่วยตัดสินใจลงทุน เช่น มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) หรืออัตราผลตอบแทนต่อความเสี่ยง (Return on Risk)

สรุป

IRR เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการตัดสินใจลงทุน อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาข้อควรระวังในการใช้ IRR ควบคู่ไปด้วย เพื่อการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ

สรุป

IRR เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการตัดสินใจลงทุน โดยสามารถใช้เปรียบเทียบการลงทุนหลายโครงการด้วยกัน เพื่อเลือกโครงการที่คุ้มค่าที่สุด อย่างไรก็ตาม IRR รู้ไว้ก่อนลงทุนจะได้ไม่พลาด ควรพิจารณาข้อควรระวังในการใช้ IRR ควบคู่ไปด้วย เพื่อการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ

IRR คืออะไร? การคำนวณและตัวอย่าง

IRR คืออะไร?

IRR (Internal Rate of Return) หรือ อัตราผลตอบแทนภายใน คือ อัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุน โดยคำนวณจากกระแสเงินสดที่จ่ายออกไปและกระแสเงินสดที่ได้รับจากการลงทุน กระแสเงินสดที่จ่ายออกไป ได้แก่ ค่าลงทุน ค่าบำรุงรักษา ค่าดำเนินการ เป็นต้น ส่วนกระแสเงินสดที่ได้รับ ได้แก่ เงินปันผล เงินเช่า ค่าขาย เป็นต้น

IRR คืออะไร? การคำนวณและตัวอย่าง โดย IRR มักใช้เปรียบเทียบกับอัตราผลตอบแทนของการลงทุนทางเลือกหรือต้นทุนของเงินทุน เพื่อพิจารณาว่าการลงทุนนั้นมีความคุ้มค่าหรือไม่

การคำนวณ IRR

การคำนวณ IRR สามารถทำได้หลายวิธี วิธีที่ง่ายที่สุดคือการใช้โปรแกรมสำเร็จรูป เช่น Microsoft Excel หรือ Google Sheets โดยใช้ฟังก์ชัน IRR หรือ XIRR

  • ฟังก์ชัน IRR

ฟังก์ชัน IRR ใน Microsoft Excel จะคำนวณ IRR โดยเริ่มต้นจากการประมาณค่า IRR จากนั้นจะวนรอบการคำนวณจนกว่าจะหาค่า IRR ที่ถูกต้อง ฟังก์ชัน IRR มีรูปแบบดังนี้

=IRR(กระแสเงินสดที่จ่ายออกไป; กระแสเงินสดที่ได้รับ)

โดยที่

  • กระแสเงินสดที่จ่ายออกไป คือ กระแสเงินสดที่จ่ายออกไปทั้งหมดในช่วงระยะเวลาของการลงทุน
  • กระแสเงินสดที่ได้รับ คือ กระแสเงินสดที่ได้รับทั้งหมดในช่วงระยะเวลาของการลงทุน

ตัวอย่างการคำนวณ IRR ด้วยฟังก์ชัน IRR ใน Microsoft Excel มีดังนี้

=IRR(-100000;50000;50000;50000;50000)

ผลลัพธ์ที่ได้คือ 15.24% ซึ่งหมายความว่า การลงทุนในธุรกิจร้านกาแฟของนาย A จะให้ผลตอบแทนภายในที่ 15.24% ต่อปี

  • ฟังก์ชัน XIRR

ฟังก์ชัน XIRR ใน Microsoft Excel จะคำนวณ IRR โดยใช้วิธีหาค่าดอกเบี้ยทบต้นที่สอดคล้องกับกระแสเงินสดของการลงทุน ฟังก์ชัน XIRR มีรูปแบบดังนี้

=XIRR(กระแสเงินสด; ช่วงเวลา; อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น)

โดยที่

  • กระแสเงินสด คือ กระแสเงินสดที่ได้รับทั้งหมดในช่วงระยะเวลาของการลงทุน
  • ช่วงเวลา คือ ช่วงเวลาของกระแสเงินสดแต่ละรายการ
  • อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น คือ อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นที่ใช้ในการคำนวณ

ตัวอย่างการคำนวณ IRR ด้วยฟังก์ชัน XIRR ใน Microsoft Excel มีดังนี้

=XIRR(-100000;{0;1;2;3;4};0)

ผลลัพธ์ที่ได้คือ 15.24% ซึ่งหมายความว่า การลงทุนในธุรกิจร้านกาแฟของนาย A จะให้ผลตอบแทนภายในที่ 15.24% ต่อปี

  • การคำนวณ IRR ด้วยตนเอง

การคำนวณ IRR ด้วยตนเองสามารถทำได้โดยใช้สูตรทางคณิตศาสตร์ สูตรการคำนวณ IRR มีดังนี้

IRR = √(1 + r)^n - 1

โดยที่

  • r คือ อัตราผลตอบแทนภายในที่ต้องการหา
  • n คือ ระยะเวลาของการลงทุน

ตัวอย่างการคำนวณ IRR ด้วยสูตรทางคณิตศาสตร์ มีดังนี้

สมมติว่านาย A ลงทุนในธุรกิจร้านกาแฟ โดยลงทุนครั้งแรก 100,000 บาท คาดว่าจะได้รับเงินปันผลปีละ 50,000 บาท เป็นเวลา 5 ปี การคำนวณ IRR ของการลงทุนนี้ มีดังนี้

IRR = √(1 + r)^5 - 1

แทนค่า n = 5 และ PV = -100,000 ลงในสมการจะได้ดังนี้

IRR = √(1 + r)^5 - 1
IRR = √(1 + r)^5 - (-100000)
IRR = √(1 + r)^5 + 100000

จากนั้นนำค่า IRR ที่ได้ไปลองแทนในสมการข้างต้นจนกว่าจะได้ค่า PV เท่ากับ 0

จากการคำนวณจะได้ว่า IRR ของการลงทุนนี้คือ 15.24%

ข้อจำกัดของ IRR

IRR มีข้อจำกัดบางประการที่นักลงทุนควรพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุน ได้แก่

  • IRR ไม่คำนึงถึงความเสี่ยงของการลงทุน
  • IRR ไม่คำนึงถึงระยะเวลาคืนทุนของการลงทุน
  • IRR ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับการลงทุนที่มีกระแสเงินสดต่างกันได้

ดังนั้น นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ประกอบไปด้วย เช่น ความเสี่ยงของการลงทุน ระยะเวลาคืนทุน เป็นต้น

ตัวอย่าง IRR

สมมติว่านาย B กำลังพิจารณาการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ โดยลงทุนครั้งแรก 10 ล้านบาท คาดว่าจะได้รับเงินปันผลปีละ 2 ล้านบาท เป็นเวลา 10 ปี การคำนวณ IRR ของการลงทุนนี้ มีดังนี้

=IRR(-10000000;200000;200000;200000;...;200000)

ผลลัพธ์ที่ได้คือ 12.5% ซึ่งหมายความว่า การลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ของนาย B จะให้ผลตอบแทนภายในที่ 12.5% ต่อปี

สรุป

IRR คืออะไร? การคำนวณและตัวอย่าง จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นว่า IRR ของการลงทุนทั้งสองโครงการสูงกว่าอัตราผลตอบแทนของการลงทุนทางเลือกทั่วไป เช่น ฝากเงินธนาคาร ดังนั้น การลงทุนทั้งสองโครงการจึงมีความคุ้มค่า อย่างไรก็ตาม IRR เป็นเพียงตัวชี้วัดหนึ่งเท่านั้น ในการตัดสินความคุ้มค่าของการลงทุน นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ประกอบไปด้วย เช่น ความเสี่ยงของการลงทุน ระยะเวลาคืนทุน เป็นต้น

IRR สำคัญอย่างไร? ประโยชน์ที่ไม่ควรมองข้าม

IRR หรือ Internal Rate of Return เป็นอัตราผลตอบแทนภายในที่คาดหวังของการลงทุน เป็นตัววัดประสิทธิภาพของการลงทุนว่าสามารถสร้างผลตอบแทนได้คุ้มค่ากับเงินลงทุนหรือไม่

IRR สำคัญอย่างไร?

IRR มีความสำคัญต่อการลงทุนเป็นอย่างมาก เพราะช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้ว่าควรลงทุนหรือไม่ โดยพิจารณาจากอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังเทียบกับต้นทุนการลงทุน ถ้า IRR สูงกว่าต้นทุนการลงทุน ก็แสดงว่าการลงทุนนั้นคุ้มค่า แต่ถ้า IRR ต่ำกว่าต้นทุนการลงทุน ก็แสดงว่าการลงทุนนั้นไม่คุ้มค่า

IRR สำคัญอย่างไร? ประโยชน์ที่ไม่ควรมองข้าม โดย IRR เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยในการตัดสินใจลงทุนได้อย่างเหมาะสม โดยพิจารณาจากอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังเทียบกับต้นทุนการลงทุน ซึ่ง ประโยชน์ที่ไม่ควรมองข้าม เพราะสามารถช่วยนักลงทุนตัดสินใจลงทุนได้อย่างคุ้มค่า

ประโยชน์ที่ไม่ควรมองข้าม มีดังนี้

ประโยชน์ที่ 1: ช่วยตัดสินใจลงทุนได้อย่างเหมาะสม

IRR เป็นเครื่องมือที่ช่วยประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนได้อย่างแม่นยำ โดยพิจารณาจากอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังเทียบกับต้นทุนการลงทุน ทำให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจได้ว่าควรลงทุนหรือไม่

IRR ช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจลงทุนได้อย่างเหมาะสม เพราะ IRR จะบอกให้นักลงทุนรู้ว่าการลงทุนนั้นสามารถสร้างผลตอบแทนได้คุ้มค่ากับเงินลงทุนหรือไม่ โดยพิจารณาจากอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังเทียบกับต้นทุนการลงทุน ถ้า IRR สูงกว่าต้นทุนการลงทุน ก็แสดงว่าการลงทุนนั้นคุ้มค่า แต่ถ้า IRR ต่ำกว่าต้นทุนการลงทุน ก็แสดงว่าการลงทุนนั้นไม่คุ้มค่า

ยกตัวอย่างเช่น คุณมีทุน 100,000 บาท และกำลังพิจารณาลงทุนในโครงการ A และ B โดยโครงการ A มีอัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง 12% ต่อปี และโครงการ B มีอัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง 10% ต่อปี จากการพิจารณา IRR ของทั้งสองโครงการพบว่า IRR ของโครงการ A อยู่ที่ 12% ต่อปี และ IRR ของโครงการ B อยู่ที่ 10% ต่อปี ดังนั้น การลงทุนในโครงการ A คุ้มค่ากว่าการลงทุนในโครงการ B เพราะโครงการ A มีอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังสูงกว่าโครงการ B

IRR จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยนักลงทุนตัดสินใจลงทุนได้อย่างเหมาะสม โดยพิจารณาจากอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังเทียบกับต้นทุนการลงทุน โดยนักลงทุนควรใช้ IRR ประกอบกับการพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ความเสี่ยงของการลงทุน ผลตอบแทนที่คาดหวังในระยะยาว เป็นต้น เพื่อให้การตัดสินใจลงทุนเป็นไปอย่างรอบคอบ

นอกจากนี้ IRR ยังสามารถนำมาเปรียบเทียบการลงทุนหลายประเภท เพื่อช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้ว่าควรลงทุนในประเภทใด โดยพิจารณาจากอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังเทียบกับต้นทุนการลงทุน หากการลงทุนประเภทใดมี IRR สูงกว่า ก็แสดงว่าการลงทุนประเภทนั้นคุ้มค่ากว่า

ยกตัวอย่างเช่น คุณกำลังพิจารณาลงทุนในหุ้น กองทุนรวม และอสังหาริมทรัพย์ โดยพิจารณาจาก IRR พบว่า หุ้นมี IRR อยู่ที่ 15% ต่อปี กองทุนรวมมี IRR อยู่ที่ 12% ต่อปี และอสังหาริมทรัพย์มี IRR อยู่ที่ 10% ต่อปี ดังนั้น การลงทุนในหุ้นคุ้มค่ากว่าการลงทุนในกองทุนรวมและอสังหาริมทรัพย์

ประโยชน์ที่ 2: ช่วยเปรียบเทียบการลงทุนหลายประเภท

IRR สามารถนำมาเปรียบเทียบการลงทุนหลายประเภท เพื่อให้เห็นภาพรวมว่าการลงทุนประเภทใดคุ้มค่ากว่ากัน โดยพิจารณาจากอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังเทียบกับต้นทุนการลงทุน

ยกตัวอย่างเช่น คุณกำลังพิจารณาลงทุนในหุ้น กองทุนรวม และอสังหาริมทรัพย์ โดยพิจารณาจาก IRR พบว่า หุ้นมี IRR อยู่ที่ 15% ต่อปี กองทุนรวมมี IRR อยู่ที่ 12% ต่อปี และอสังหาริมทรัพย์มี IRR อยู่ที่ 10% ต่อปี ดังนั้น การลงทุนในหุ้นคุ้มค่ากว่าการลงทุนในกองทุนรวมและอสังหาริมทรัพย์

IRR ช่วยให้นักลงทุนสามารถเปรียบเทียบการลงทุนหลายประเภทได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยพิจารณาจากอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังเทียบกับต้นทุนการลงทุน ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้ว่าควรลงทุนในประเภทใด เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุด

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรใช้ IRR ประกอบกับการพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ความเสี่ยงของการลงทุน ผลตอบแทนที่คาดหวังในระยะยาว เป็นต้น เพื่อให้การตัดสินใจลงทุนเป็นไปอย่างรอบคอบ

ยกตัวอย่างเช่น การลงทุนในหุ้นมี IRR อยู่ที่ 15% ต่อปี แต่มีความเสี่ยงสูง ในขณะที่การลงทุนในกองทุนรวมมี IRR อยู่ที่ 12% ต่อปี แต่มีความเสี่ยงต่ำ ดังนั้น นักลงทุนต้องพิจารณาความเสี่ยงของการลงทุนประกอบกับ IRR เพื่อให้ตัดสินใจลงทุนได้อย่างเหมาะสม

นอกจากนี้ IRR ยังสามารถใช้เปรียบเทียบการลงทุนประเภทเดียวกันที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน เช่น การลงทุนในหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในทำเลเดียวกัน เป็นต้น โดยพิจารณาจาก IRR เพื่อช่วยตัดสินใจได้ว่าควรลงทุนในบริษัทหรือโครงการใด เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุด

ประโยชน์ที่ 3: ช่วยกำหนดเป้าหมายการลงทุน

IRR สามารถกำหนดเป็นเป้าหมายการลงทุน เพื่อให้นักลงทุนสามารถบริหารจัดการการลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

ยกตัวอย่างเช่น คุณตั้งเป้าหมายการลงทุนให้มีเงินเก็บ 1 ล้านบาทภายใน 5 ปี จากการพิจารณา IRR พบว่า การลงทุนในหุ้นมี IRR อยู่ที่ 15% ต่อปี ดังนั้น คุณจะต้องลงทุนในหุ้นให้ได้เงินจำนวน 200,000 บาท ภายใน 2 ปีครึ่ง เพื่อให้มีเงินเก็บ 1 ล้านบาทภายใน 5 ปี

นอกจากประโยชน์ที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว IRR ยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในด้านอื่นๆ ได้อีก เช่น ใช้ในการประเมินความคุ้มค่าของโครงการก่อสร้าง โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น

ดังนั้น IRR จึงถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่นักลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจ เพื่อให้สามารถใช้ IRR ได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยให้การลงทุนประสบความสำเร็จ

ตัวอย่างประโยชน์ของ IRR

สมมติว่า คุณมีทุน 100,000 บาท และกำลังพิจารณาลงทุนในโครงการ A และ B โดยโครงการ A มีอัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง 12% ต่อปี และโครงการ B มีอัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง 10% ต่อปี จากการพิจารณา IRR ของทั้งสองโครงการพบว่า IRR ของโครงการ A อยู่ที่ 12% ต่อปี และ IRR ของโครงการ B อยู่ที่ 10% ต่อปี ดังนั้น การลงทุนในโครงการ A คุ้มค่ากว่าการลงทุนในโครงการ B เพราะโครงการ A มีอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังสูงกว่าโครงการ B

นอกจากนี้ IRR ยังสามารถใช้เปรียบเทียบการลงทุนหลายประเภทได้ เช่น การลงทุนในหุ้น การลงทุนในกองทุนรวม การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น โดยพิจารณาจากอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังเทียบกับต้นทุนการลงทุน หากการลงทุนประเภทใดมี IRR สูงกว่า ก็แสดงว่าการลงทุนประเภทนั้นคุ้มค่ากว่า

สรุป

IRR สำคัญอย่างไร? ประโยชน์ที่ไม่ควรมองข้าม สรุปได้ว่า IRR เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยในการตัดสินใจลงทุนได้อย่างเหมาะสม โดยพิจารณาจากอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังเทียบกับต้นทุนการลงทุน ซึ่งประโยชน์ของ IRR นั้นไม่ควรมองข้าม เพราะสามารถช่วยนักลงทุนตัดสินใจลงทุนได้อย่างคุ้มค่า

วิธีใช้ IRR ในการตัดสินใจลงทุน เลือกลงทุนอย่างไรให้คุ้มค่า

ในการตัดสินใจลงทุน การประเมินความคุ้มค่าของโครงการเป็นสิ่งสำคัญ ผู้ลงทุนต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ต้นทุนการลงทุน กระแสเงินสดรับสุทธิ และระยะเวลาคืนทุน เป็นต้น หนึ่งในเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินความคุ้มค่าของโครงการคือ อัตราผลตอบแทนภายใน (Internal Rate of Return: IRR)

IRR คือ อัตราส่วนลดที่ทำให้มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับสุทธิของโครงการมีค่าเท่ากับต้นทุนการลงทุน พูดง่ายๆ คือ อัตราผลตอบแทนที่โครงการจะสร้างให้ได้ตามต้นทุนการลงทุน ในกรณีที่ IRR สูงกว่าต้นทุนการลงทุน แสดงว่าโครงการนั้นคุ้มค่าที่จะลงทุน

วิธีการคำนวณ IRR

การคำนวณ IRR สามารถทำได้หลายวิธี วิธีที่ง่ายที่สุดคือใช้วิธีลองผิดลองถูก (Trial and Error) โดยสมมติค่า IRR ขึ้นมาทีละค่า แล้วคำนวณมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับสุทธิของโครงการ หากค่ามูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับสุทธิมีค่าเท่ากับต้นทุนการลงทุน แสดงว่าค่า IRR นั้นคือค่าที่ถูกต้อง

อีกวิธีหนึ่งในการหา IRR คือการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยคำนวณ ซึ่งในปัจจุบันมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์มากมายที่สามารถคำนวณ IRR ได้

ตัวอย่างการใช้ IRR ในการตัดสินใจลงทุน

สมมติว่าบริษัทแห่งหนึ่งมีโครงการลงทุนในเครื่องจักรใหม่มูลค่า 10 ล้านบาท โดยคาดว่าจะมีกระแสเงินสดรับสุทธิในปีแรก 3 ล้านบาท ปีที่สอง 4 ล้านบาท และปีที่สาม 5 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของบริษัทอยู่ที่ 10%

จากข้อมูลข้างต้น เราสามารถคำนวณ IRR ของโครงการได้ดังนี้

IRR = ?

NPV = -10 + 3/(1+0.1)^1 + 4/(1+0.1)^2 + 5/(1+0.1)^3

เมื่อคำนวณค่า NPV จะได้ค่าเท่ากับ 1.26

เนื่องจากค่า NPV มีค่ามากกว่าศูนย์ แสดงว่า IRR ของโครงการจะสูงกว่า 10%

หากเราลองสมมติค่า IRR ขึ้นมาทีละค่า พบว่าค่า IRR ที่ใกล้เคียงกับ NPV มากที่สุดคือ 12%

ดังนั้น สรุปได้ว่า โครงการลงทุนในเครื่องจักรใหม่ของ บริษัทแห่งนี้คุ้มค่าที่จะลงทุน เนื่องจาก IRR สูงกว่าต้นทุนการลงทุนที่ 10%

ข้อดีและข้อเสียของการใช้ IRR ในการตัดสินใจลงทุน

ข้อดีของการใช้ IRR ในการตัดสินใจลงทุนคือ

  • เข้าใจง่าย สามารถใช้เปรียบเทียบโครงการลงทุนต่างๆ ได้ง่าย

IRR เป็นอัตราผลตอบแทนที่แสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ ทำให้ผู้ลงทุนสามารถเข้าใจได้ง่าย และสามารถเปรียบเทียบโครงการลงทุนต่างๆ ได้ง่าย โดยโครงการที่มี IRR สูงกว่าย่อมคุ้มค่ากว่าโครงการที่มี IRR ต่ำกว่า

  • ครอบคลุมถึงระยะเวลาคืนทุนของโครงการ

IRR คำนวณจากกระแสเงินสดรับสุทธิทั้งหมดของโครงการ ซึ่งรวมถึงกระแสเงินสดรับสุทธิที่เกิดขึ้นในอนาคตด้วย ทำให้ IRR ครอบคลุมถึงระยะเวลาคืนทุนของโครงการด้วย โดยโครงการที่มี IRR สูงกว่าย่อมมีระยะเวลาคืนทุนที่สั้นกว่าโครงการที่มี IRR ต่ำกว่า

ข้อดีของการใช้ IRR เหล่านี้ ทำให้ IRR เป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมในการตัดสินใจลงทุน อย่างไรก็ตาม IRR ก็มีข้อเสียที่ต้องพิจารณาเช่นกัน

ข้อเสียของการใช้ IRR ในการตัดสินใจลงทุนคือ

  • ขึ้นอยู่กับสมมติฐานของกระแสเงินสดรับสุทธิในอนาคต

IRR คำนวณจากกระแสเงินสดรับสุทธิในอนาคต ซึ่งขึ้นอยู่กับสมมติฐานต่างๆ เช่น ปริมาณการขาย ราคาสินค้าหรือบริการ เป็นต้น หากสมมติฐานเหล่านี้ไม่เป็นไปตามความเป็นจริง จะทำให้ IRR ที่คำนวณได้คลาดเคลื่อนได้

  • ไม่สามารถเปรียบเทียบโครงการลงทุนที่มีระยะเวลาคืนทุนต่างกันได้

IRR ไม่สามารถเปรียบเทียบโครงการลงทุนที่มีระยะเวลาคืนทุนต่างกันได้ เนื่องจาก IRR ขึ้นอยู่กับระยะเวลาคืนทุนด้วย ดังนั้น โครงการที่มีระยะเวลาคืนทุนต่างกันอาจให้ IRR ต่างกันได้ แม้ว่าโครงการทั้งสองจะมีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) เท่ากัน

ดังนั้น ผู้ลงทุนควรพิจารณาข้อดีและข้อเสียของการใช้ IRR ประกอบกันก่อนตัดสินใจลงทุน รวมถึงการใช้ IRR ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ ในการประเมินความคุ้มค่าของโครงการ เพื่อให้ได้การตัดสินใจที่ถูกต้องและคุ้มค่ามากที่สุด

การประยุกต์ใช้ IRR ในการตัดสินใจลงทุน

IRR สามารถใช้ประยุกต์ใช้เพื่อการตัดสินใจลงทุนในหลากหลายรูปแบบ เช่น

  • การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร เช่น เครื่องจักร อาคาร โรงงาน

IRR สามารถใช้ประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร เช่น การลงทุนซื้อเครื่องจักรใหม่ การลงทุนสร้างโรงงานใหม่ เป็นต้น โดยพิจารณาว่า IRR สูงกว่าต้นทุนการลงทุนหรือไม่

  • การลงทุนในธุรกิจใหม่

IRR สามารถใช้ประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนในธุรกิจใหม่ เช่น การลงทุนเปิดร้านใหม่ การลงทุนซื้อแฟรนไชส์ เป็นต้น โดยพิจารณาว่า IRR สูงกว่าต้นทุนการลงทุนหรือไม่

  • การลงทุนในโครงการก่อสร้าง

IRR สามารถใช้ประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนในโครงการก่อสร้าง เช่น การลงทุนสร้างถนน การลงทุนสร้างเขื่อน เป็นต้น โดยพิจารณาว่า IRR สูงกว่าต้นทุนการลงทุนหรือไม่

  • การลงทุนในหลักทรัพย์

IRR สามารถใช้ประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนในหลักทรัพย์ เช่น การลงทุนซื้อหุ้น การลงทุนซื้อกองทุนรวม เป็นต้น โดยพิจารณาว่า IRR สูงกว่าต้นทุนการลงทุนหรือไม่

ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ IRR ในการตัดสินใจลงทุน

  • บริษัทแห่งหนึ่งมีโครงการลงทุนในเครื่องจักรใหม่มูลค่า 10 ล้านบาท โดยคาดว่าจะมีกระแสเงินสดรับสุทธิในปีแรก 3 ล้านบาท ปีที่สอง 4 ล้านบาท และปีที่สาม 5 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของบริษัทอยู่ที่ 10%

จากข้อมูลข้างต้น เราสามารถคำนวณ IRR ของโครงการได้ดังนี้

IRR = ?

NPV = -10 + 3/(1+0.1)^1 + 4/(1+0.1)^2 + 5/(1+0.1)^3

เมื่อคำนวณค่า NPV จะได้ค่าเท่ากับ 1.26

เนื่องจากค่า NPV มีค่ามากกว่าศูนย์ แสดงว่า IRR ของโครงการจะสูงกว่า 10%

หากเราลองสมมติค่า IRR ขึ้นมาทีละค่า พบว่าค่า IRR ที่ใกล้เคียงกับ NPV มากที่สุดคือ 12%

ดังนั้น สรุปได้ว่า โครงการลงทุนในเครื่องจักรใหม่ของ บริษัทแห่งนี้คุ้มค่าที่จะลงทุน เนื่องจาก IRR สูงกว่าต้นทุนการลงทุนที่ 10%

จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นได้ว่า IRR สามารถใช้ประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนในเครื่องจักรใหม่ โดยพิจารณาว่า IRR สูงกว่าต้นทุนการลงทุนหรือไม่

ผู้ลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน รวมถึงการใช้ IRR ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ ในการประเมินความคุ้มค่าของโครงการ เพื่อให้ได้การตัดสินใจที่ถูกต้องและคุ้มค่ามากที่สุด

IRR เคล็ดลับลงทุนให้ได้ผลตอบแทนสูงสุด

IRR หรือ Internal Rate of Return คือ อัตราผลตอบแทนภายใน เป็นตัวชี้วัดผลตอบแทนจากการลงทุน โดยคำนวณจากมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (Net Present Value: NPV) ของกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุน โดยหาก NPV มีค่าเป็นบวก แสดงว่าการลงทุนนั้นมีผลตอบแทนที่สูงกว่าต้นทุนการลงทุน และหาก NPV มีค่าเป็นลบ แสดงว่าการลงทุนนั้นมีผลตอบแทนที่น้อยกว่าต้นทุนการลงทุน

บทความนี้เราจะสำรวจ IRR เคล็ดลับลงทุนให้ได้ผลตอบแทนสูงสุด เพราะ IRR มีความสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุน เป็นตัวช่วยในการเปรียบเทียบผลตอบแทนจากการลงทุนที่แตกต่างกัน โดยหาก IRR ของการลงทุนหนึ่งสูงกว่า IRR ของการลงทุนอีกอย่างหนึ่ง แสดงว่าการลงทุนแรกมีผลตอบแทนที่ดีกว่า

IRR เคล็ดลับลงทุนให้ได้ผลตอบแทนสูงสุด

  1. กำหนดเป้าหมายผลตอบแทน

การกำหนดเป้าหมายผลตอบแทนเป็นขั้นตอนที่สำคัญก่อนตัดสินใจลงทุน เพราะเป้าหมายผลตอบแทนจะเป็นตัวกำหนดว่าควรลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใด และควรลงทุนในระยะเวลาเท่าใด เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินส่วนบุคคลที่ต้องการ

ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการกำหนดเป้าหมายผลตอบแทน ได้แก่

  • ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ นักลงทุนควรพิจารณาระดับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ก่อนกำหนดเป้าหมายผลตอบแทน เพราะการลงทุนที่มีผลตอบแทนสูงมักจะมาพร้อมกับความเสี่ยงสูงเช่นกัน
  • ระยะเวลาการลงทุน ระยะเวลาการลงทุนมีผลต่อผลตอบแทนจากการลงทุน โดยการลงทุนในระยะยาวมักจะมีผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในระยะสั้น
  • เป้าหมายทางการเงินส่วนบุคคล นักลงทุนควรกำหนดเป้าหมายทางการเงินส่วนบุคคลก่อนกำหนดเป้าหมายผลตอบแทน เพราะเป้าหมายทางการเงินส่วนบุคคลจะเป็นตัวกำหนดว่าควรลงทุนเพื่ออะไร เช่น การลงทุนเพื่อเกษียณอายุ การลงทุนเพื่อการศึกษาบุตร เป็นต้น

ตัวอย่างการกำหนดเป้าหมายผลตอบแทน

  • นักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้สูง และต้องการผลตอบแทนสูงเพื่อลงทุนเพื่อเกษียณอายุ อาจกำหนดเป้าหมายผลตอบแทนไว้ที่ 10% ต่อปี
  • นักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้ปานกลาง และต้องการผลตอบแทนที่สม่ำเสมอเพื่อลงทุนเพื่อการศึกษาบุตร อาจกำหนดเป้าหมายผลตอบแทนไว้ที่ 5% ต่อปี
  • นักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้ต่ำ และต้องการผลตอบแทนที่ปลอดภัยเพื่อลงทุนเพื่อใช้จ่ายยามเกษียณ อาจกำหนดเป้าหมายผลตอบแทนไว้ที่ 3% ต่อปี

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายผลตอบแทนที่ตั้งไว้อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม โดยอาจปรับเป้าหมายผลตอบแทนขึ้นหรือลงตามปัจจัยต่างๆ เช่น สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยง หรือการปรับเปลี่ยนเป้าหมายทางการเงินส่วนบุคคล เป็นต้น

เคล็ดลับในการกำหนดเป้าหมายผลตอบแทน

  • กำหนดเป้าหมายผลตอบแทนที่เป็นไปได้และสมจริง โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ
  • กำหนดเป้าหมายผลตอบแทนที่สอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินส่วนบุคคล
  • ทบทวนและปรับเป้าหมายผลตอบแทนตามสถานการณ์ที่เหมาะสม

การกำหนดเป้าหมายผลตอบแทนอย่างรอบคอบจะช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายทางการเงินส่วนบุคคลที่ต้องการ

  1. คำนวณ IRR ของการลงทุน

เมื่อกำหนดเป้าหมายผลตอบแทนได้แล้ว ก็ควรคำนวณ IRR ของการลงทุนแต่ละประเภท โดยพิจารณาจากกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุน

ตัวอย่างการคำนวณ IRR ของการลงทุน

สมมติว่านักลงทุนมีแผนลงทุนในหุ้นของบริษัทแห่งหนึ่ง โดยคาดว่าจะได้รับเงินปันผลปีละ 10,000 บาท เป็นเวลา 5 ปี และคาดว่าราคาหุ้นจะสูงขึ้นจากราคาซื้อ 100 บาท เป็นราคา 120 บาท เมื่อครบกำหนด 5 ปี ต้นทุนการลงทุนของหุ้นอยู่ที่ 100,000 บาท

วิธีการคำนวณ IRR ของการลงทุน

มีวิธีการคำนวณ IRR ของการลงทุนอยู่หลายวิธี ดังนี้

  • วิธีใช้สูตร เป็นการหาค่า IRR โดยใช้สูตรคำนวณ IRR
  • วิธีใช้เครื่องคิดเลข เครื่องคิดเลขบางรุ่นมีฟังก์ชันสำหรับคำนวณ IRR อยู่แล้ว
  • ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่มีฟังก์ชันสำหรับคำนวณ IRR จะช่วยให้การคำนวณ IRR เป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็ว

ข้อควรระวังในการคำนวณ IRR ของการลงทุน

  • การคำนวณ IRR ของการลงทุนขึ้นอยู่กับกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุน ซึ่งอาจมีความไม่แน่นอน ดังนั้น IRR ที่คำนวณได้อาจมีค่าไม่แน่นอนเช่นกัน
  • การคำนวณ IRR ของการลงทุนอาจใช้เวลานาน หากกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุนมีจำนวนมาก
  1. เลือกการลงทุนที่มี IRR สูงกว่าเป้าหมาย

เมื่อคำนวณ IRR ของการลงทุนแต่ละประเภทได้แล้ว ก็ควรเลือกลงทุนในการลงทุนที่มี IRR สูงกว่าเป้าหมายผลตอบแทนที่ตั้งไว้ การลงทุนที่มี IRR สูงกว่าเป้าหมายผลตอบแทนแสดงว่าการลงทุนนั้นมีผลตอบแทนที่สูงกว่าที่นักลงทุนคาดหวังไว้

ตัวอย่างการเลือกการลงทุนที่มี IRR สูงกว่าเป้าหมาย

จากตัวอย่างการคำนวณ IRR ของการลงทุนหุ้นของบริษัทแห่งหนึ่งข้างต้น พบว่า IRR ของการลงทุนอยู่ที่ 10.50% ต่อปี หากนักลงทุนกำหนดเป้าหมายผลตอบแทนไว้ที่ 10% ต่อปี ก็ควรเลือกลงทุนในหุ้นของบริษัทแห่งนี้ เพราะการลงทุนนี้มี IRR ที่สูงกว่าเป้าหมายผลตอบแทนที่ตั้งไว้

อย่างไรก็ตาม การเลือกการลงทุนที่มี IRR สูงกว่าเป้าหมายเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ความเสี่ยงของการลงทุน ระยะเวลาการลงทุน และความยืดหยุ่นของการลงทุน เป็นต้น

ปัจจัยอื่นๆ ที่ควรพิจารณาในการเลือกการลงทุน

  • ความเสี่ยงของการลงทุน การลงทุนที่มีผลตอบแทนสูงมักจะมาพร้อมกับความเสี่ยงสูง นักลงทุนควรพิจารณาระดับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ก่อนตัดสินใจลงทุน
  • ระยะเวลาการลงทุน ระยะเวลาการลงทุนมีผลต่อผลตอบแทนจากการลงทุน โดยการลงทุนในระยะยาวมักจะมีผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในระยะสั้น
  • ความยืดหยุ่นของการลงทุน การลงทุนที่มีความยืดหยุ่นสูงจะช่วยให้นักลงทุนสามารถปรับเปลี่ยนการลงทุนได้ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

ข้อสรุป

การเลือกการลงทุนที่มี IRR สูงกว่าเป้าหมายเป็นแนวทางหนึ่งในการช่วยตัดสินใจลงทุน แต่ควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย เพื่อให้ได้การลงทุนที่มีประสิทธิภาพและได้ผลตอบแทนสูงสุด

  1. พิจารณาปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย

นอกจาก IRR แล้ว นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วยในการเลือกการลงทุน เพื่อให้ได้การลงทุนที่มีประสิทธิภาพและได้ผลตอบแทนสูงสุด ปัจจัยอื่นๆ ที่ควรพิจารณา ได้แก่

  • ความเสี่ยงของการลงทุน

การลงทุนที่มีผลตอบแทนสูงมักจะมาพร้อมกับความเสี่ยงสูง นักลงทุนควรพิจารณาระดับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ก่อนตัดสินใจลงทุน โดยนักลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำควรเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตรรัฐบาล หรือ เงินฝากประจำ ส่วนนักลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงอาจเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น หุ้น หรือ กองทุนรวมหุ้น

  • ระยะเวลาการลงทุน

ระยะเวลาการลงทุนมีผลต่อผลตอบแทนจากการลงทุน โดยการลงทุนในระยะยาวมักจะมีผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในระยะสั้น นักลงทุนควรพิจารณาระยะเวลาที่ต้องการการลงทุนและเป้าหมายทางการเงินส่วนบุคคลก่อนตัดสินใจลงทุน

  • ความยืดหยุ่นของการลงทุน

การลงทุนที่มีความยืดหยุ่นสูงจะช่วยให้นักลงทุนสามารถปรับเปลี่ยนการลงทุนได้ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนที่หลากหลาย นักลงทุนจะสามารถปรับเปลี่ยนนโยบายการลงทุนได้ตามความต้องการ

  • ความเหมาะสมกับเป้าหมายทางการเงินส่วนบุคคล

นักลงทุนควรพิจารณาเป้าหมายทางการเงินส่วนบุคคลก่อนตัดสินใจลงทุน เพราะการลงทุนแต่ละประเภทมีจุดเด่นและจุดด้อยที่แตกต่างกัน นักลงทุนควรเลือกการลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายทางการเงินส่วนบุคคล เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินที่ต้องการ

  • ความสะดวกในการลงทุน

นักลงทุนควรพิจารณาความสะดวกในการลงทุนด้วย เช่น การลงทุนในกองทุนรวม นักลงทุนสามารถลงทุนได้ง่าย ผ่านตัวแทนจำหน่ายหรือธนาคารพาณิชย์ต่างๆ

  • ค่าธรรมเนียม

ค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการลงทุน เช่น ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม ค่าธรรมเนียมการจัดการกองทุน เป็นต้น นักลงทุนควรพิจารณาค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการลงทุนด้วย เพื่อไม่ให้กระทบต่อผลตอบแทนจากการลงทุน

  • ข้อมูลข่าวสาร

นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการลงทุนอย่างรอบคอบ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ที่ลงทุน ข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงของการลงทุน ข้อมูลเกี่ยวกับผลตอบแทนของการลงทุน เป็นต้น เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน

ข้อสรุป

การพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วยในการเลือกการลงทุนจะช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจลงทุนได้อย่างรอบคอบ และมีโอกาสประสบความสำเร็จในการบรรลุเป้าหมายทางการเงินส่วนบุคคล

ข้อควรระวังในการใช้ IRR

IRR เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการช่วยตัดสินใจลงทุน แต่มีข้อควรระวังบางประการดังนี้

  • IRR เป็นเพียงตัวชี้วัดผลตอบแทนจากการลงทุนเพียงอย่างเดียว ไม่ได้พิจารณาถึงความเสี่ยงของการลงทุน

IRR ไม่ได้พิจารณาถึงความเสี่ยงของการลงทุน ซึ่งการลงทุนที่มีผลตอบแทนสูงมักจะมาพร้อมกับความเสี่ยงสูง นักลงทุนควรพิจารณาความเสี่ยงของการลงทุนควบคู่ไปกับ IRR ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน

  • IRR อาจมีค่าไม่แน่นอน หากกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุนมีความไม่แน่นอน

IRR ขึ้นอยู่กับกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุน หากกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุนมีความไม่แน่นอน IRR ที่คำนวณได้อาจมีค่าไม่แน่นอนเช่นกัน

  • IRR อาจมีค่าไม่ถูกต้อง หากระยะเวลาการลงทุนมีการเปลี่ยนแปลง

IRR คำนวณจากกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุนตลอดอายุโครงการ หากระยะเวลาการลงทุนมีการเปลี่ยนแปลง IRR ที่คำนวณได้อาจมีค่าไม่ถูกต้องเช่นกัน

ตัวอย่างข้อควรระวังในการใช้ IRR

สมมติว่านักลงทุนมีแผนลงทุนในหุ้นของบริษัทแห่งหนึ่ง โดยคาดว่าจะได้รับเงินปันผลปีละ 10,000 บาท เป็นเวลา 5 ปี และคาดว่าราคาหุ้นจะสูงขึ้นจากราคาซื้อ 100 บาท เป็นราคา 120 บาท เมื่อครบกำหนด 5 ปี ต้นทุนการลงทุนของหุ้นอยู่ที่ 100,000 บาท

หากนักลงทุนกำหนดเป้าหมายผลตอบแทนไว้ที่ 10% ต่อปี พบว่า IRR ของการลงทุนอยู่ที่ 10.50% ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายผลตอบแทนที่ตั้งไว้ ดังนั้น นักลงทุนจึงตัดสินใจลงทุนในหุ้นของบริษัทแห่งนี้

อย่างไรก็ตาม หากกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุนเปลี่ยนแปลงไป เช่น คาดว่าจะได้รับเงินปันผลปีละ 12,000 บาทแทน หรือคาดว่าราคาหุ้นจะสูงขึ้นเป็นราคา 130 บาท เมื่อครบกำหนด 5 ปี เป็นต้น IRR ของการลงทุนอาจเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนตัดสินใจลงทุนในหุ้นของบริษัทแห่งนี้ผิดพลาดได้

สรุป

IRR เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการช่วยตัดสินใจลงทุน แต่ควรพิจารณาข้อควรระวังต่างๆ ข้างต้น ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน เพื่อให้การลงทุนมีประสิทธิภาพและได้ผลตอบแทนสูงสุด