ขั้นตอนในการเขียนบทนำการวิจัย

บทนำการวิจัยเป็นบทแรกที่ผู้อ่านจะพบเจอในรายงานวิจัย มีหน้าที่ในการแนะนำหัวข้อการวิจัยและสร้างความสนใจให้กับผู้อ่าน บทความนี้ได้แนะนำ ขั้นตอนในการเขียนบทนำการวิจัย โดยบทนำที่ดีควรมีเนื้อหาที่ชัดเจน กระชับ และครอบคลุมเนื้อหาสำคัญทั้งหมดของการวิจัย

ขั้นตอนในการเขียนบทนำการวิจัย มีดังนี้

1. กำหนดขอบเขตของการวิจัย

ขั้นแรก ผู้วิจัยควรกำหนดขอบเขตของการวิจัยให้ชัดเจนว่าต้องการศึกษาอะไร ศึกษาใคร ศึกษาที่ไหน ศึกษาเมื่อไหร่ และศึกษาอย่างไร การกำหนดขอบเขตของการวิจัยจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถเขียนบทนำได้อย่างครอบคลุมและเฉพาะเจาะจง

ตัวอย่าง

สมมติว่าผู้วิจัยต้องการศึกษา “ปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของลูกค้าในการใช้บริการขนส่งสาธารณะ” ขอบเขตของการวิจัยนี้อาจกำหนดได้ว่า

  • ศึกษาปัจจัยด้านคุณภาพของการให้บริการ
  • ศึกษาปัจจัยด้านความสะดวกในการใช้งาน
  • ศึกษาปัจจัยด้านราคา
  • ศึกษาปัจจัยด้านความสะอาด
  • ศึกษาปัจจัยด้านความปลอดภัย
  • ศึกษาปัจจัยด้านความตรงต่อเวลา

2. สรุปที่มาและความสำคัญของปัญหา

หลังจากกำหนดขอบเขตของการวิจัยแล้ว ผู้วิจัยควรสรุปที่มาและความสำคัญของปัญหาที่ศึกษา โดยการอธิบายถึงสภาพปัจจุบันของปัญหา สาเหตุของปัญหา และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากปัญหานั้นๆ การสรุปที่มาและความสำคัญของปัญหาจะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจถึงความจำเป็นในการทำวิจัยนี้

ตัวอย่าง

จากตัวอย่างข้างต้น ผู้วิจัยอาจสรุปที่มาและความสำคัญของปัญหาได้ดังนี้

  • ในปัจจุบัน บริการขนส่งสาธารณะในประเทศไทยยังไม่ได้รับความพึงพอใจจากผู้ใช้เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ผู้ใช้หันมาใช้บริการขนส่งส่วนบุคคลมากขึ้น
  • สาเหตุของความไม่พึงพอใจมาจากปัจจัยหลายประการ เช่น คุณภาพของการให้บริการที่ไม่สม่ำเสมอ ความสะดวกในการใช้งานที่จำกัด ราคาที่สูง ความสะอาดที่ไม่เพียงพอ ความปลอดภัยที่ไม่เป็นที่น่าเชื่อถือ และความไม่ตรงต่อเวลา
  • ความไม่พึงพอใจต่อบริการขนส่งสาธารณะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้โดยตรง เช่น เสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น และเกิดความเสี่ยงต่อความปลอดภัย

3. ระบุวัตถุประสงค์ของการวิจัย

วัตถุประสงค์ของการวิจัยคือสิ่งที่ผู้วิจัยต้องการจะตอบคำถามหรือค้นหาคำตอบ วัตถุประสงค์ของการวิจัยควรระบุให้ชัดเจนและเฉพาะเจาะจง เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจว่าผู้วิจัยต้องการจะศึกษาอะไรจากงานวิจัยนี้

วัตถุประสงค์ของการวิจัยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ

  • วัตถุประสงค์ทั่วไป หมายถึง วัตถุประสงค์ที่กว้างๆ ครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมดของการวิจัย เช่น
    • เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของลูกค้าในการใช้บริการขนส่งสาธารณะ
    • เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษามหาวิทยาลัยเกี่ยวกับหลักสูตรการเรียนการสอน
    • เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของยารักษาโรคมะเร็งชนิดใหม่
  • วัตถุประสงค์เฉพาะ หมายถึง วัตถุประสงค์ที่เจาะจงลงไปในรายละเอียด เช่น
    • เพื่อศึกษาปัจจัยด้านคุณภาพของการให้บริการที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของลูกค้าในการใช้บริการขนส่งสาธารณะ
    • เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษามหาวิทยาลัยเกี่ยวกับหลักสูตรการเรียนการสอนในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์
    • เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของยารักษาโรคมะเร็งชนิดใหม่ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง

วัตถุประสงค์ของการวิจัยที่ดีควรมีคุณสมบัติดังนี้

  • ชัดเจน เข้าใจง่าย
  • เฉพาะเจาะจง
  • เป็นไปได้ในทางปฏิบัติ
  • สอดคล้องกับขอบเขตของการวิจัย

ตัวอย่างการระบุวัตถุประสงค์ของการวิจัย เช่น

  • วัตถุประสงค์ทั่วไป
    • เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของลูกค้าในการใช้บริการขนส่งสาธารณะ
  • วัตถุประสงค์เฉพาะ
    • เพื่อศึกษาปัจจัยด้านคุณภาพของการให้บริการ ความสะดวกในการใช้งาน ราคา ความสะอาด ความปลอดภัย และความตรงต่อเวลา ที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของลูกค้าในการใช้บริการขนส่งสาธารณะ

ในการระบุวัตถุประสงค์ของการวิจัย ผู้วิจัยควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้

  • ปัญหาการวิจัยที่ศึกษา
  • ขอบเขตของการวิจัย
  • กรอบแนวคิดในการวิจัย
  • ตัวแปรในการวิจัย

วัตถุประสงค์ของการวิจัยเป็นสิ่งสำคัญมากในการวิจัย เพราะจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถวางแผนการวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้ผลการวิจัยมีความถูกต้องและน่าเชื่อถือมากขึ้น

ตัวอย่าง

จากตัวอย่างข้างต้น วัตถุประสงค์ของการวิจัยอาจระบุได้ดังนี้

  • เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของลูกค้าในการใช้บริการขนส่งสาธารณะ
  • เพื่อหาแนวทางในการปรับปรุงคุณภาพของบริการขนส่งสาธารณะให้ได้รับความพึงพอใจจากผู้ใช้มากขึ้น

4. ระบุกรอบแนวคิดในการวิจัย

กรอบแนวคิดในการวิจัยคือทฤษฎีหรือกรอบความคิดที่ใช้ในการอธิบายปรากฏการณ์หรือปัญหาที่ศึกษา กรอบแนวคิดในการวิจัยจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถกำหนดตัวแปรในการวิจัยและเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม

กรอบแนวคิดในการวิจัยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ

  • กรอบแนวคิดเชิงทฤษฎี หมายถึง กรอบแนวคิดที่มาจากทฤษฎีหรือแนวคิดทางวิชาการ เช่น ทฤษฎีความพึงพอใจของลูกค้า ทฤษฎีการเรียนรู้ ทฤษฎีพฤติกรรมผู้บริโภค เป็นต้น
  • กรอบแนวคิดเชิงประจักษ์ หมายถึง กรอบแนวคิดที่ได้จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น ผลการวิจัยก่อนหน้านี้ ผลการสำรวจความคิดเห็น เป็นต้น

ในการระบุกรอบแนวคิดในการวิจัย ผู้วิจัยควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้

  • ปัญหาการวิจัยที่ศึกษา
  • ขอบเขตของการวิจัย
  • วัตถุประสงค์ของการวิจัย
  • ตัวแปรในการวิจัย

ตัวอย่างการระบุกรอบแนวคิดในการวิจัย เช่น

  • กรอบแนวคิดเชิงทฤษฎี
    • กรอบแนวคิดการวิจัยนี้ใช้ทฤษฎีความพึงพอใจของลูกค้า (Customer Satisfaction Theory) ซึ่งอธิบายว่าความพึงพอใจของลูกค้าเกิดจากปัจจัยต่างๆ เช่น คุณภาพของสินค้าหรือบริการ ความสะดวกในการใช้งาน ราคา และความสะอาด
  • กรอบแนวคิดเชิงประจักษ์
    • กรอบแนวคิดการวิจัยนี้ใช้ผลการวิจัยของ [ชื่อนักวิจัย] ที่ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของลูกค้าในการใช้บริการขนส่งสาธารณะ โดยผลการวิจัยพบว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของลูกค้า ได้แก่ คุณภาพของการให้บริการ ความสะดวกในการใช้งาน ราคา ความสะอาด ความปลอดภัย และความตรงต่อเวลา

กรอบแนวคิดในการวิจัยเป็นสิ่งสำคัญมากในการวิจัย เพราะจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถวางแผนการวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้ผลการวิจัยมีความถูกต้องและน่าเชื่อถือมากขึ้น

ตัวอย่าง

จากตัวอย่างข้างต้น กรอบแนวคิดในการวิจัยอาจใช้ทฤษฎีความพึงพอใจของลูกค้า (Customer Satisfaction Theory) ซึ่งอธิบายว่าความพึงพอใจของลูกค้าเกิดจากปัจจัยต่างๆ เช่น คุณภาพของสินค้าหรือบริการ ความสะดวกในการใช้งาน ราคา และความสะอาด

5. สรุปบทนำ

ในตอนท้ายของบทนำ ผู้วิจัยควรสรุปเนื้อหาทั้งหมดของบทนำอีกครั้ง เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจถึงประเด็นสำคัญทั้งหมดของการวิจัย

ตัวอย่าง

จากตัวอย่างข้างต้น ผู้วิจัยอาจสรุปบทนำได้ดังนี้

งานวิจัยนี้ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของลูกค้าในการใช้บริการขนส่งสาธารณะ โดยสรุปได้ว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของลูกค้า ได้แก่ คุณภาพของการให้บริการ ความสะดวกในการใช้งาน ราคา ความสะอาด ความปลอดภัย และความตรงต่อเวลา ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงคุณภาพของบริการขนส่งสาธารณะให้ได้รับความพึงพอใจจากผู้ใช้มากขึ้น

ข้อควรระวังในการเขียนบทนำการวิจัย


ข้อควรระวังในการเขียนบทนำการวิจัย มีดังนี้

  • ไม่ควรใช้ภาษาที่ยืดยาวหรือซับซ้อนจนเกินไป ผู้อ่านควรสามารถเข้าใจเนื้อหาของบทนำได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย หากใช้ภาษาที่ยืดยาวหรือซับซ้อนจนเกินไป อาจทำให้ผู้อ่านสับสนและเข้าใจยาก
  • ไม่ควรใช้ศัพท์เทคนิคหรือคำศัพท์เฉพาะทางมากเกินไป หากจำเป็นต้องใช้ศัพท์เทคนิคหรือคำศัพท์เฉพาะทาง ควรอธิบายความหมายให้เข้าใจง่ายก่อนใช้
  • ไม่ควรใส่ความคิดเห็นหรือความเชื่อส่วนตัวของผู้วิจัยลงไปในบทนำ บทนำควรนำเสนอข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงเท่านั้น ไม่ควรใส่ความคิดเห็นหรือความเชื่อส่วนตัวของผู้วิจัยลงไป เพราะอาจทำให้ผลการวิจัยมีความน่าเชื่อถือลดลง
  • ควรตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูลให้ครบถ้วน ข้อมูลที่ใช้อ้างอิงในบทนำควรเป็นข้อมูลที่เป็นปัจจุบันและเชื่อถือได้ ควรอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูลให้ครบถ้วน เพื่อให้ผู้อ่านสามารถตรวจสอบข้อมูลได้

นอกจากนี้ ผู้วิจัยควรหลีกเลี่ยงการเขียนบทนำที่มีลักษณะดังต่อไปนี้

  • บทนำที่ยาวเกินไป บทนำไม่ควรยาวเกิน 1 หน้ากระดาษ
  • บทนำที่ซ้ำซ้อนกับบทคัดย่อ บทนำไม่ควรซ้ำซ้อนกับบทคัดย่อ เพราะบทคัดย่อเป็นส่วนที่สรุปเนื้อหาทั้งหมดของรายงานวิจัยไว้แล้ว
  • บทนำที่ขาดความน่าสนใจ บทนำควรเขียนให้น่าสนใจ ดึงดูดให้ผู้อ่านอยากอ่านรายงานวิจัยต่อไป

สรุปได้ว่า บทนำการวิจัยเป็นบทที่สำคัญที่สุดบทหนึ่งในรายงานวิจัย เพราะเป็นส่วนแรกที่ผู้อ่านจะพบเจอ ผู้วิจัยควรเข้าใจใน ขั้นตอนในการเขียนบทนำการวิจัย และให้ความสำคัญในการเขียนบทนำให้มีคุณภาพ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจถึงหัวข้อการวิจัยและเกิดความสนใจที่จะอ่านรายงานวิจัยต่อไป