ในยุคปัจจุบัน ปัญหาวิจัยที่นักวิจัยเผชิญมีความซับซ้อนและท้าทายมากขึ้น การใช้เพียงวิธีการวิจัยเชิงปริมาณหรือเชิงคุณภาพเพียงอย่างเดียว อาจไม่เพียงพอที่จะให้คำตอบที่ครอบคลุมและลึกซึ้ง การวิจัยเชิงผสม (Mixed Methods Research) จึงได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากเป็นวิธีการวิจัยที่ผสมผสานทั้งวิธีเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เข้าด้วยกัน ช่วยให้นักวิจัยสามารถเข้าใจปรากฏการณ์ที่ศึกษาได้อย่างลึกซึ้งและรอบด้าน
ประโยชน์ของการวิจัยเชิงผสม
- เพิ่มความครอบคลุมของข้อมูล: การวิจัยเชิงผสมช่วยให้นักวิจัยสามารถรวบรวมข้อมูลได้หลากหลาย ทั้งข้อมูลเชิงตัวเลข ข้อมูลเชิงลึก และข้อมูลเชิงพฤติกรรม ช่วยให้เข้าใจปรากฏการณ์ที่ศึกษาได้อย่างครบถ้วน
- เพิ่มความน่าเชื่อถือของผลการวิจัย: การใช้หลายวิธีการวิจัย ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ และความมั่นใจในผลการวิจัย
- เพิ่มความลึกซึ้งของการวิเคราะห์: การวิจัยเชิงผสมช่วยให้นักวิจัยสามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างลึกซึ้ง เข้าใจความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน และตีความผลการวิจัยได้อย่างแม่นยำ
- เพิ่มประโยชน์ของผลการวิจัย: การวิจัยเชิงผสม ช่วยให้นักวิจัยสามารถนำเสนอผลการวิจัย ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง
ตัวอย่างการใช้การวิจัยเชิงผสม
- การศึกษาความพึงพอใจของลูกค้า: นักวิจัยสามารถใช้แบบสอบถาม (เชิงปริมาณ) เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความพึงพอใจของลูกค้า และสัมภาษณ์ลูกค้าเชิงลึก (เชิงคุณภาพ) เพื่อหาสาเหตุของความพึงพอใจ หรือไม่พึงพอใจ
- การศึกษาประสิทธิภาพของโครงการพัฒนา: นักวิจัยสามารถใช้การทดลอง (เชิงปริมาณ) เพื่อวัดผลลัพธ์ของโครงการ และสัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมโครงการ (เชิงคุณภาพ) เพื่อหาปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จ หรือความล้มเหลวของโครงการ
** ข้อควร** พิจารณาในการใช้การวิจัยเชิงผสม
- การออกแบบการวิจัย: นักวิจัยต้องออกแบบการวิจัยอย่างรอบคอบ กำหนดวิธีการวิจัย เครื่องมือ และวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลที่เหมาะสม
- การรวบรวมข้อมูล: นักวิจัยต้องรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบ เก็บหลักฐาน และตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล
- การวิเคราะห์ข้อมูล: นักวิจัยต้องวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ ใช้เทคนิคการวิเคราะห์ที่เหมาะสม และตีความผลการวิจัยอย่างรอบคอบ
สรุป
การวิจัยเชิงผสมเป็นวิธีการวิจัยที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้นักวิจัยสามารถเข้าใจปรากฏการณ์ที่ศึกษาได้อย่างลึกซึ้ง ครอบคลุม และน่าเชื่อถือ