การวิจัยเป็นกระบวนการแสวงหาความรู้ใหม่หรือความรู้ที่ยืนยันหรือเพิ่มเติมความรู้เดิม มีหลายขั้นตอนที่ต้องทำและอาจใช้เวลานาน จึงอาจทำให้การวิจัยเป็นเรื่องยากและท้าทายสำหรับบางคน อย่างไรก็ตาม บทความนี้ได้แนะนำ 10 แนวคิดในการทำให้การวิจัยง่ายขึ้น โดยมีแนวคิดบางประการที่จะช่วยให้การวิจัยง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ได้แก่
1. เลือกหัวข้อที่สนใจและมีความเกี่ยวข้อง
การวิจัยจะง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นหากผู้วิจัยเลือกหัวข้อที่สนใจและมีความเกี่ยวข้อง หัวข้อที่สนใจจะทำให้ผู้วิจัยมีแรงจูงใจที่จะทำงานวิจัยและจะทำให้การวิจัยดำเนินไปอย่างราบรื่นมากขึ้น ในขณะที่หัวข้อที่มีความเกี่ยวข้องจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถเชื่อมโยงงานวิจัยของตนเข้ากับองค์ความรู้ที่มีอยู่
ในการเลือกหัวข้อที่สนใจและมีความเกี่ยวข้อง ผู้วิจัยควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้
- ความสนใจส่วนตัว: หัวข้อที่สนใจส่วนตัวจะช่วยให้ผู้วิจัยมีแรงจูงใจที่จะทำงานวิจัยและจะทำให้ผู้วิจัยรู้สึกสนุกกับการทำงานวิจัย
- ความเชี่ยวชาญ: หัวข้อที่มีความเกี่ยวข้องกับความรู้และทักษะของผู้วิจัยจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถทำงานวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ความเป็นไปได้ในการดำเนินการวิจัย: หัวข้อที่สามารถดำเนินการวิจัยได้จริงจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของการวิจัย
ผู้วิจัยควรใช้เวลาในการสำรวจความสนใจและความรู้ของตน เพื่อที่จะสามารถเลือกหัวข้อการวิจัยที่สนใจและมีความเกี่ยวข้องได้อย่างเหมาะสม
2. ศึกษาค้นคว้าอย่างละเอียด
การศึกษาค้นคว้าอย่างละเอียดเป็นขั้นตอนสำคัญในการวิจัย เนื่องจากจะช่วยให้ผู้วิจัยเข้าใจขอบเขตและเนื้อหาของหัวข้อที่จะทำการวิจัยเป็นอย่างดี ซึ่งจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถวางแผนการวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน
ในการศึกษาค้นคว้า ผู้วิจัยควรศึกษาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น หนังสือ วารสารวิชาการ เว็บไซต์ เอกสารทางวิชาการ เป็นต้น ผู้วิจัยควรอ่านและทำความเข้าใจเนื้อหาอย่างละเอียด และควรจดบันทึกข้อมูลสำคัญๆ ไว้
นอกจากนี้ ผู้วิจัยควรพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ที่มีความรู้ในสาขาที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอคำแนะนำและปรึกษาหารือเกี่ยวกับหัวข้อการวิจัย ผู้วิจัยควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถตีความข้อมูลได้อย่างถูกต้อง
การศึกษาค้นคว้าอย่างละเอียดจะช่วยให้ผู้วิจัยมีความรู้และความเข้าใจในหัวข้อการวิจัยเป็นอย่างดี ซึ่งจะช่วยให้การวิจัยดำเนินไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
3. กำหนดวัตถุประสงค์และขอบเขตของการวิจัยอย่างชัดเจน
การกำหนดวัตถุประสงค์และขอบเขตของการวิจัยอย่างชัดเจนเป็นขั้นตอนสำคัญในการวิจัย เนื่องจากจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถวางแผนการวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน
วัตถุประสงค์ของการวิจัยคือสิ่งที่ผู้วิจัยต้องการจะศึกษาหรือหาคำตอบ ซึ่งควรระบุให้ชัดเจน ครอบคลุม และสามารถวัดผลได้
ขอบเขตของการวิจัยคือขอบเขตของเนื้อหาหรือประชากรที่ศึกษา ซึ่งควรระบุให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้วิจัยสามารถโฟกัสไปที่ประเด็นสำคัญและสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในการกำหนดวัตถุประสงค์และขอบเขตของการวิจัย ผู้วิจัยควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้
- ความชัดเจน: วัตถุประสงค์และขอบเขตของการวิจัยควรระบุให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้วิจัยและผู้อื่นสามารถเข้าใจได้
- ความครอบคลุม: วัตถุประสงค์และขอบเขตของการวิจัยควรครอบคลุมเนื้อหาหรือประชากรที่ศึกษาอย่างเพียงพอ
- ความสามารถในการวัดผล: วัตถุประสงค์ของการวิจัยควรระบุให้ชัดเจนว่าต้องการหาคำตอบเกี่ยวกับอะไร และสามารถวัดผลได้หรือไม่
การกำหนดวัตถุประสงค์และขอบเขตของการวิจัยอย่างชัดเจนจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถวางแผนการวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน
4. เลือกวิธีวิจัยที่เหมาะสม
การเลือกวิธีวิจัยที่เหมาะสมเป็นขั้นตอนสำคัญในการวิจัย เนื่องจากจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถตอบคำถามการวิจัยได้อย่างถูกต้อง
วิธีวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
- วิธีวิจัยเชิงปริมาณ เป็นการวิจัยที่เน้นการรวบรวมข้อมูลเชิงตัวเลข เพื่อวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ เช่น การสำรวจ การทดลอง การวิจัยเชิงสถิติ เป็นต้น
- วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ เป็นการวิจัยที่เน้นการรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพ เพื่อเข้าใจความหมายและความคิดเห็นของข้อมูล เช่น การสัมภาษณ์ การสังเกต การวิจัยเชิงชาติพันธุ์วิทยา เป็นต้น
การเลือกวิธีวิจัยที่เหมาะสมจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถตอบคำถามการวิจัยได้อย่างถูกต้อง
5. เก็บรวบรวมข้อมูลอย่างถูกต้องและครบถ้วน
การรวบรวมข้อมูลอย่างถูกต้องและครบถ้วนเป็นขั้นตอนสำคัญในการวิจัย เนื่องจากข้อมูลเป็นพื้นฐานของการวิเคราะห์และสรุปผลการวิจัย หากข้อมูลไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วน การวิเคราะห์และสรุปผลการวิจัยก็จะไม่ถูกต้องตามไปด้วย
ในการรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้
- ความถูกต้อง: ข้อมูลควรถูกต้องตามความเป็นจริง
- ความครบถ้วน: ข้อมูลควรครบถ้วนตามวัตถุประสงค์และขอบเขตของการวิจัย
- ความน่าเชื่อถือ: ข้อมูลควรน่าเชื่อถือจากแหล่งที่เชื่อถือได้
การรวบรวมข้อมูลอย่างถูกต้องและครบถ้วนจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถตอบคำถามการวิจัยได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
6. วิเคราะห์ข้อมูลอย่างถูกต้อง
การวิเคราะห์ข้อมูลอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้วิจัยที่ต้องการตีความข้อมูลและสรุปผลการวิจัยได้อย่างถูกต้อง ตัวอย่างเช่น หากผู้วิจัยต้องการศึกษาเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ผู้วิจัยควรใช้สถิติที่เหมาะสมในการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้สามารถระบุแนวโน้มและความสัมพันธ์ของข้อมูลได้อย่างแม่นยำ
สถิติที่เหมาะสมสำหรับการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนอาจแตกต่างกันไปตามลักษณะของข้อมูลและคำถามวิจัยของผู้วิจัย ตัวอย่างเช่น หากผู้วิจัยต้องการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนในโรงเรียนแห่งหนึ่งกับโรงเรียนอื่น ผู้วิจัยอาจใช้สถิติเชิงพรรณนา เช่น ค่าเฉลี่ย ค่ามัธยฐาน และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เพื่ออธิบายแนวโน้มของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนในทั้งสองโรงเรียน
หากผู้วิจัยต้องการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนกับปัจจัยอื่นๆ เช่น เพศ ระดับชั้น ฐานะทางเศรษฐกิจ หรือที่อยู่อาศัย ผู้วิจัยอาจใช้สถิติเชิงอนุมาน เช่น การทดสอบค่าที (t-test) การทดสอบความแปรผันร่วม (ANOVA) หรือการวิเคราะห์การถดถอย (regression analysis) เพื่อทดสอบสมมติฐานเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยเหล่านั้น
การเลือกสถิติที่เหมาะสมในการวิเคราะห์ข้อมูลจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถตีความข้อมูลได้อย่างถูกต้องและสรุปผลการวิจัยได้อย่างน่าเชื่อถือ ดังนั้น ผู้วิจัยจึงควรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสถิติอย่างเพียงพอ เพื่อให้สามารถเลือกใช้สถิติที่เหมาะสมกับข้อมูลและคำถามวิจัยของตนได้อย่างเหมาะสม
นอกจากการเลือกสถิติที่เหมาะสมแล้ว ผู้วิจัยควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ในการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย เช่น คุณภาพของข้อมูล ความถูกต้องของข้อมูล และขนาดของตัวอย่างข้อมูล เพื่อให้การวิเคราะห์ข้อมูลมีความน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น
โดยสรุปแล้ว การวิเคราะห์ข้อมูลอย่างถูกต้องจะช่วยให้ผู้วิจัยสามารถตีความข้อมูลและสรุปผลการวิจัยได้อย่างถูกต้อง ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่และการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ได้
7. เขียนรายงานการวิจัยอย่างกระชับ ชัดเจน และถูกต้อง
ในการเขียนรายงานการวิจัยอย่างกระชับ ชัดเจน และถูกต้อง ผู้วิจัยควรคำนึงถึงหลักการสำคัญดังต่อไปนี้
- ความกระชับ รายงานการวิจัยควรมีความกระชับ เข้าใจง่าย ไม่ยืดเยื้อหรือวกวนจนเกินไป เนื้อหาควรครอบคลุมประเด็นสำคัญและประเด็นย่อยทั้งหมดที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการวิจัย
- ความชัดเจน รายงานการวิจัยควรมีความชัดเจน เข้าใจง่าย ไม่ใช้ภาษาหรือศัพท์เทคนิคที่ยากเกินไป ผู้อ่านควรสามารถเข้าใจเนื้อหาของรายงานการวิจัยได้อย่างถ่องแท้
- ความถูกต้อง รายงานการวิจัยควรมีความถูกต้องทั้งในด้านเนื้อหาและรูปแบบ ข้อมูลและข้อเท็จจริงต่างๆ ควรเป็นความจริง เชื่อถือได้ และมีการอ้างอิงแหล่งที่มาอย่างชัดเจน
- โครงสร้าง รายงานการวิจัยควรมีโครงสร้างที่ชัดเจน แบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ อย่างเป็นสัดส่วน เนื้อหาในแต่ละส่วนควรสัมพันธ์กัน และเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ
- การเขียน การเขียนรายงานการวิจัยควรใช้ภาษาที่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์และหลักการใช้ภาษาไทย การใช้คำศัพท์ควรเหมาะสมกับบริบทของเนื้อหา ประโยคควรกระชับ เข้าใจง่าย และสื่อความหมายได้ชัดเจน
- การอ้างอิง การอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูลและข้อเท็จจริงต่างๆ มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเขียนรายงานการวิจัย ผู้วิจัยควรอ้างอิงแหล่งที่มาอย่างถูกต้องและครบถ้วน เพื่อให้ผู้อ่านสามารถตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริงต่างๆ เหล่านั้นได้
ตัวอย่างรายงานการวิจัย ตัวอย่างรายงานการวิจัยที่กระชับ ชัดเจน และถูกต้อง โดยทั่วไปจะประกอบด้วยส่วนสำคัญดังต่อไปนี้
- บทนำ กล่าวถึงที่มาของปัญหา วัตถุประสงค์ของการวิจัย ขอบเขตของการวิจัย และทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
- วิธีดำเนินการวิจัย กล่าวถึงวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล
- ผลการวิจัย นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียดและครอบคลุม
- สรุปผลการวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ สรุปผลการวิจัย อภิปรายผลลัพธ์ที่ได้ และเสนอแนะแนวทางการวิจัยในอนาคต
นอกจากส่วนสำคัญข้างต้นแล้ว รายงานการวิจัยอาจประกอบด้วยส่วนอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น บทคัดย่อ บรรณานุกรม ภาคผนวก เป็นต้น
การเขียนรายงานการวิจัยอย่างกระชับ ชัดเจน และถูกต้อง เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่ผู้วิจัยควรให้ความสำคัญ เพราะจะช่วยให้รายงานการวิจัยมีความน่าเชื่อถือ และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
8. เผยแพร่ผลการวิจัย
การเผยแพร่ผลการวิจัยเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักวิจัย เนื่องจากช่วยให้ผลงานวิจัยของตนได้รับการเผยแพร่สู่สาธารณะ และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาสังคมและประเทศชาติได้
รูปแบบการเผยแพร่ผลการวิจัยมีหลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการวิจัยและกลุ่มเป้าหมายของผู้วิจัย รูปแบบการเผยแพร่ผลการวิจัยที่พบได้บ่อย ได้แก่
- การนำเสนอผลงานวิจัยในที่ประชุมวิชาการ เป็นรูปแบบการเผยแพร่ผลการวิจัยที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากช่วยให้ผู้วิจัยสามารถนำเสนอผลงานวิจัยของตนต่อนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญในสาขาเดียวกัน และรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้เข้าร่วมประชุม
- การตีพิมพ์ผลงานวิจัยในวารสารวิชาการ เป็นรูปแบบการเผยแพร่ผลการวิจัยที่ได้รับความนิยมรองลงมา เนื่องจากช่วยให้ผลงานวิจัยของตนได้รับการเผยแพร่สู่สาธารณะในวงกว้าง และได้รับการยอมรับจากนักวิชาการในสาขาเดียวกัน
- การเผยแพร่ผลงานวิจัยในสื่อมวลชน เป็นรูปแบบการเผยแพร่ผลการวิจัยที่ช่วยให้ผลงานวิจัยของตนได้รับการเผยแพร่สู่สาธารณะในวงกว้าง และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย
- การเผยแพร่ผลงานวิจัยผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นรูปแบบการเผยแพร่ผลการวิจัยที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากช่วยให้ผลงานวิจัยของตนสามารถเข้าถึงผู้อ่านได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
ในการเผยแพร่ผลการวิจัย ผู้วิจัยควรคำนึงถึงประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้
- เลือกรูปแบบการเผยแพร่ที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของการวิจัย
- เตรียมเอกสารประกอบการเผยแพร่อย่างครบถ้วนและมีคุณภาพ
- ประชาสัมพันธ์ผลการวิจัยให้กลุ่มเป้าหมายได้รับทราบ
การเผยแพร่ผลการวิจัยเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักวิจัย เนื่องจากจะช่วยให้ผลงานวิจัยของตนได้รับการเผยแพร่สู่สาธารณะ และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาสังคมและประเทศชาติได้
9. ประเมินผลการวิจัย
การประเมินผลการวิจัยเป็นกระบวนการที่ใช้ในการพิจารณาคุณภาพของผลงานวิจัย โดยพิจารณาจากเกณฑ์ต่างๆ เช่น ความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ ประโยชน์ใช้สอย และผลกระทบต่อสังคม การประเมินผลการวิจัยมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากช่วยให้สามารถตัดสินได้ว่าผลงานวิจัยนั้นมีคุณภาพเพียงพอหรือไม่ และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การประเมินผลการวิจัยสามารถทำได้โดยผู้วิจัยเอง หรือโดยผู้ประเมินที่เป็นบุคคลภายนอก การประเมินผลการวิจัยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่
- การประเมินเชิงคุณภาพ เป็นการประเมินที่มุ่งเน้นไปที่คุณภาพของเนื้อหาและวิธีการวิจัย โดยพิจารณาจากเกณฑ์ต่างๆ เช่น ความถูกต้อง ความชัดเจน และความน่าเชื่อถือของผลการวิจัย
- การประเมินเชิงปริมาณ เป็นการประเมินที่มุ่งเน้นไปที่ปริมาณและขอบเขตของการวิจัย โดยพิจารณาจากเกณฑ์ต่างๆ เช่น ขนาดของตัวอย่าง ระยะเวลาในการวิจัย และจำนวนข้อมูลที่ได้รับ
ในการประเมินผลการวิจัย ผู้ประเมินควรพิจารณาเกณฑ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ เพื่อให้สามารถประเมินผลงานวิจัยได้อย่างเป็นธรรมและเชื่อถือได้
ตัวอย่างเกณฑ์ที่ใช้ในการประเมินผลการวิจัย ได้แก่
- ความถูกต้อง หมายถึง ผลการวิจัยต้องสอดคล้องกับข้อเท็จจริงและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
- ความน่าเชื่อถือ หมายถึง ผลการวิจัยสามารถนำไปใช้ได้ซ้ำแล้วซ้ำอีก และได้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกัน
- ประโยชน์ใช้สอย หมายถึง ผลการวิจัยสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาสังคมและประเทศชาติได้
- ผลกระทบต่อสังคม หมายถึง ผลการวิจัยก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือผลกระทบต่อสังคมในเชิงบวก
ประโยชน์ของการประเมินผลการวิจัย
การประเมินผลการวิจัยมีประโยชน์หลายประการ ดังนี้
- ช่วยพัฒนาคุณภาพของผลงานวิจัยให้ดีขึ้น
- ช่วยส่งเสริมให้เกิดการวิจัยที่มีคุณภาพและเป็นประโยชน์ต่อสังคม
- ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผลงานวิจัย
- ช่วยเพิ่มโอกาสในการเผยแพร่ผลงานวิจัย
- ช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับทุนสนับสนุนการวิจัย
การประเมินผลการวิจัยเป็นกระบวนการที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับผลงานวิจัยทุกชิ้น การประเมินผลการวิจัยจะช่วยให้สามารถตัดสินได้ว่าผลงานวิจัยนั้นมีคุณภาพเพียงพอหรือไม่ และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
10. เรียนรู้จากประสบการณ์
การเรียนรู้จากประสบการณ์ (Experiential Learning) คือกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดจากการลงมือทำหรือสัมผัสกับประสบการณ์ตรง การเรียนรู้จากประสบการณ์เป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน เนื่องจากช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาได้อย่างลึกซึ้งและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง
การเรียนรู้จากประสบการณ์สามารถแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอนหลักๆ ดังนี้
- ประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรม (Concrete Experience) เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนได้สัมผัสกับประสบการณ์ตรง เช่น การทดลอง การสังเกตการณ์ การเข้าร่วมกิจกรรม เป็นต้น
- การสะท้อนคิดจากการสังเกต (Reflective Observation) เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนคิดไตร่ตรองเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ตนได้รับ เช่น วิเคราะห์สาเหตุและผลลัพธ์ของประสบการณ์ ตีความความหมายของประสบการณ์ เป็นต้น
- การสร้างแนวคิดที่เป็นนามธรรม (Abstract Conceptualization) เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนสร้างแนวคิดหรือทฤษฎีจากประสบการณ์ที่ตนได้รับ เช่น สรุปประเด็นสำคัญ เชื่อมโยงความรู้ใหม่เข้ากับความรู้เดิม เป็นต้น
- การทดลองปฏิบัติ (Active Experimentation) เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนนำแนวคิดหรือทฤษฎีที่ได้จากการสะท้อนคิดมาทดลองปฏิบัติจริง เช่น นำไปประยุกต์ใช้ในการทำงานหรือชีวิตประจำวัน เป็นต้น
การเรียนรู้จากประสบการณ์สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกๆ สถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นในชีวิตประจำวัน การทำงาน หรือการศึกษา ตัวอย่างเช่น
- เด็กเรียนรู้ที่จะเดินจากการลงมือทำ ล้มและลุกขึ้นใหม่อยู่บ่อยครั้ง
- นักเรียนเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาคณิตศาสตร์จากการทดลองทำโจทย์เอง
- พนักงานเรียนรู้ที่จะทำงานใหม่จากการฝึกฝน
การเรียนรู้จากประสบการณ์มีประโยชน์หลายประการ ดังนี้
- ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาได้อย่างลึกซึ้งและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง
- ช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหา
- ช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะการทำงานเป็นทีม
- ช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะทางสังคม
การเรียนรู้จากประสบการณ์เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ เพียงแค่เปิดใจและพร้อมที่จะลงมือทำ
สรุปได้ว่า 10 แนวคิดในการทำให้การวิจัยง่ายขึ้น โดยมีแนวคิดบางประการที่จะช่วยให้การวิจัยง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญที่สุดในการวิจัยคือการมีความมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะทำงานวิจัยให้สำเร็จ