ข้อดี-ข้อเสีย การเขียนบทที่ 2: ทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง

ในขอบเขตของการเขียนเชิงวิชาการ การสร้างบทที่ 2 หรือที่เรียกว่าบท “ทฤษฎีและการวิจัยที่เกี่ยวข้อง” ถือเป็นก้าวสำคัญในกระบวนการวิจัย เป็นการวางรากฐานสำหรับการศึกษาทั้งหมด โดยมีกรอบทางทฤษฎีอย่างชัดเจน และการทบทวนวรรณกรรมที่มีอยู่อย่างกว้างขวาง

อย่างไรก็ตาม การเขียนบทที่ 2 มาพร้อมกับข้อดีและข้อเสียในตัวเอง บทความนี้เจาะลึกข้อดีและข้อเสียในการเขียนบทที่สำคัญนี้

ข้อดีของการเขียนบทที่ 2

1. ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจถึงที่มาและความสำคัญของการวิจัย : จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจถึงที่มาและความสำคัญของการวิจัย โดยอธิบายถึงทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจได้ว่าการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์อย่างไร และทำไมจึงมีความสำคัญ

2. ช่วยให้ผู้อ่านคาดเดาได้ว่าผลการวิจัยจะเป็นอย่างไร : จะช่วยให้ผู้อ่านคาดเดาได้ว่าผลการวิจัยจะเป็นอย่างไร โดยอธิบายถึงทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ ในงานวิจัย

3. ช่วยให้นักวิจัยระบุช่องว่างทางความรู้ : จะช่วยให้นักวิจัยระบุช่องว่างทางความรู้ โดยอธิบายถึงข้อจำกัดของทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยให้นักวิจัยสามารถกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัยได้อย่างเหมาะสม

4. ช่วยให้นักวิจัยสร้างสมมติฐานการวิจัย : จะช่วยให้นักวิจัยสร้างสมมติฐานการวิจัย โดยอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ ในงานวิจัย ซึ่งจะช่วยให้นักวิจัยสามารถตั้งสมมติฐานการวิจัยได้อย่างเหมาะสม

ข้อเสียของการเขียนบทที่ 2

1. ใช้เวลาในการเขียนมาก : การเขียนบทที่ 2 จำเป็นต้องรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจใช้เวลานาน

2. อาจทำให้รายงานการวิจัยมีความยาวมากเกินไป : หากเขียนมากเกินไป อาจทำให้รายงานการวิจัยมีความยาวมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้ผู้อ่านเกิดความเบื่อหน่าย

3. อาจทำให้ผู้อ่านสับสน : หากเขียนไม่ชัดเจน อาจทำให้ผู้อ่านสับสนและเข้าใจยาก

สรุป

การเขียนบทที่ 2 มีประโยชน์ต่อทั้งผู้อ่านและนักวิจัย อย่างไรก็ตาม นักวิจัยควรเขียนบทที่ 2 ให้กระชับ ชัดเจน และเข้าใจง่าย เพื่อไม่ให้รายงานการวิจัยมีความยาวมากเกินไป และไม่ให้ผู้อ่านเกิดความสับสน